ตอนนี้มีข่าวดังชิ้นหนึ่งในอเมริกาครับ อ่านแล้วก็น่าสนุกดี
เราคงจำได้ว่าเมื่อปี 2011 หน่วยซีลของอเมริกันได้สังหารโอซามา บิน ลาเดน ได้ที่บ้านพักสามชั้นในประเทศปากีสถาน เป็นอันปิดฉากการตามล่าตัวศัตรูอันดับหนึ่งของอเมริกาได้ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องของชาวอเมริกันทั้งปวง โดยเฉพาะญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 9/11
งานนี้เป็นที่รู้กันทั่วโลกว่าเป็นฝีมือของ “ซีลทีมซิกส์” (Seal Team 6) ที่ทำงานร่วมกับซีไอเอมานานหลายปี ทั้งสองหน่วยนี้เป็นหน่วยงานที่ปกปิดความลับได้ยอดเยี่ยม ไม่ว่ารายละเอียดหรือชื่อของทหารในหน่วยก็ปิดลับทั้งสิ้น
แต่หลังจากภารกิจนี้สำเร็จก็มีภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ออกมาเล่าเป็นหนังแอ็คชั่นชื่อ “Zero Dark Thirty” มันส์สะใจ นัยว่าเป็นการโชว์พาวของสหรัฐอเมริกาที่ต้องการให้โลกรู้ และอีกไม่นานก็มีสมาชิกซีลทีมซิกส์ คนหนึ่งใช้นามปากกาว่า “มาร์ค โอเว่น” ส่วนชื่อจริงคือ “แมท บิสซันเน็ท” ออกมาเขียนหนังสือเล่ารายละเอียดทั้งหมดของปฏิบัติการสะท้านโลกนี้ในหนังสือชื่อ “โน อีซี่เดย์” (No Easy Day)
แม้หนังสือเล่มนี้จะขายดิบขายดีเป็นล้านเล่ม แต่นายแมท บิสซันเน็ท ก็โดนกระทรวงกลาโหมฟ้องร้องในข้อหาเปิดเผยความลับของทางราชการ จนบัดนี้คดีความก็ยังไม่จบสิ้น
ล่าสุด….ก็มีทหารในทีมนี้ออกมาเปิดเผยตัวเองเป็นคนที่สอง คือ “โรเบิร์ต โอนีล” คนนี้ไม่ได้เขียนหนังสือครับ แต่เขาออกมาเปิดเผยตัวเลยว่า “เขาคือผู้ลั่นไกสังหารโอซามา บินลาเดน”
โรเบิร์ต โอนีลคนนี้อายุ 38 ปีครับ ทำงานในหน่วยซีลมาตั้งแต่อายุ 21 เคยทำงานในภารกิจลับมามากมาย รวมทั้งภารกิจช่วยเหลือตัวประกันจากโจรสลัดโซมาเลียในปี 2009 ที่ภายหลังฮอลลีวู้ดเอามาทำเป็นหนังชื่อ Captain Phillip ที่ฉายไปเมื่อต้นปีนี้นี่แหละ
สำหรับในภารกิจสังหารบิน ลาเดนนั้น โอนีลเล่าว่าในวันนั้นใช้ทหารซีลทีมซิกส์ทั้งหมด 23 คน มีเพียงเขาและเพื่อนทหารอีกหนึ่งคนที่ทำหน้าที่ “พลชี้เป้า” ขึ้นไปถึงชั้นสามของบ้านพัก
เมื่อทั้งคู่เข้าไปถึงห้องนอนของบิน ลาเดนแล้ว “พลชี้เป้า” ซึ่งเดินนำหน้าโอนีลอยู่นั้นพอมองเห็นบิน ลาเดนก็ลั่นกระสุนใส่ทันที....แต่พลาด โอนีลซึ่งตามมาก็เลยยิงสองนัดใส่เข้าที่ศีรษะของบิน บินลาเดน
ก่อนที่โอนีลจะลั่นกระสุนนั้น บินลาเดนได้เอามือจับไหล่ของภรรยามายืนบังตัวเองไว้ แล้วก็ผลักภรรยาเข้าใส่โอนีล โดยที่โอนีลจำได้ว่าผู้หญิงคนนั้นชื่อ “อามา” เป็นภรรยาที่อายุน้อยที่สุด
โอนีลเล่าว่า กะโหลกของบิน ลาเดนแตกตั้งแต่โดนกระสุนนัดแรกแล้ว เมื่อบิน ลาเดนล้มลงหน้าเตียง โอนีลก็ลั่นกระสุนซ้ำอีกหนึ่งนัด และบอกว่า เขาได้อยู่จนเห็นลมหายใจสุดท้ายของบิน ลาเดนก่อนจะจากโลกนี้ไป
การที่โอนีล ออกมาเปิดเผยตัวเองทั้งรายละเอียดและชื่อจริงสู่สาธารณชนแบบนี้ ก็ได้รับเสียงสะท้อนก่นด่าถึงจรรยาบรรณจากบรรดาทหารผ่านศึกทั้งปวง ด้วยว่าทำให้ชีวิตของเพื่อนร่วมงานในแวดวงข่าวลับและทหารหน่วยรบพิเศษอื่นๆอยู่ในอันตราย รวมทั้งครอบครัวของโอนีลเองด้วย กระทรวงกลาโหมของสหรัฐก็ไม่พอใจด้วยว่าตอนนี้อเมริกาเองก็อยู่สภาวะสงครามกับกลุ่มไอเอส (อิสลามหัวรุนแรง)
แต่โอนีลก็ออกมาบอกว่า ในสังคมหน่วยรบพิเศษนั้นเป็นที่รับรู้กันอยู่แล้วว่าตัวเขาเองคือผู้สังหารบิน ลาเดนตัวจริง และตัวตนของเขายังไงก็ต้องถูกเปิดเผยในอีกไม่นานอยู่ดี
บรรดาหนังสือพิมพ์ของทั้งอเมริกาและหลายประเทศก็ประโคมข่าวนี้ หนึ่งในคำวิจารณ์ที่หน่วยซีลฟังแล้วคงต้องเจ็บจี๊ดก็คือ “คำว่า Quiet Professional คงจะใช้กับหน่วยนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”
….คน(อยาก)จะดัง นี่มันช่วยไม่ได้จริงๆนะครับ....
No comments:
Post a Comment