Saturday, April 23, 2016

มาริสสา เมเยอร์ ซีอีโอหญิงแห่งยาฮู


ตามคำสัญญาที่ว่าจะเอาเรื่องราวของผู้หญิงเก่งคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังถึงวิธีการที่เธอเปลี่ยนแปลงยาฮู จากบริษัทที่จวนเจียนจะถูกเทคโอเวอร์โดยไมโครซอฟท์ ให้ฟื้นตัวขึ้นมาทรงพลังอีกครั้งหนึ่งครับ

ก่อนอื่นต้องบอกแบ๊คกราวน์ก่อนว่า มาริสสาผู้นี้เป็นพนักงานลำดับที่ 20 ของกูเกิ้ลครับ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในทีมงานยุคก่อร่างสร้างตัวของกูเกิ้ลเลยละ และยังเป็นวิศวกรหญิงคนแรกของกูเกิ้ลอีกด้วย

เธอเรียนจบทั้งตรีและโทสาขา Computer Science จากสแตนฟอร์ด ซึ่งเป็นตัวชี้วัดถึงมันสมองของเธอได้อย่างดี ซึ่งว่ากันว่าในตอนที่เธอเรียนจบนั้น มีคนมาแย่งตัวเธอไปทำงานถึง 14 แห่ง แต่เธอก็เลือกที่จะมาเป็นวิศวกรชุดแรกของกูเกิ้ล และอยู่กับกูเกิ้ลถึง 13 ปีจนกระทั่งถูกทาบทามจากบอร์ดบริหารของยาฮูให้มาเป็นซีอีโอในปี 2012

ยาฮูในปี 2012 อยู่ในสภาพที่พนักงานเบื่อหน่ายมาก ทิศทางของบริษัทกระจัดกระจาย บอกไม่ถูกว่าตัวเองจะเป็นเสิร์ชเอนจิ้น หรือจะเป็นฟรีเมล หรือจะทำธุรกิจอะไรกันแน่ แถมระบบการบริหารยังเป็นแนวๆระบบราชการ (Bureaucratic) ซึ่งผิดวิสัยของบริษัทเทคโนโลยีอย่างมากเลย

เมื่อมาริสสามาถึง สิ่งแรกที่เธอทำคือกำหนดทิศทางเลยว่า "ยาฮูจะมุ่งไปสู่การเป็น Mobile App" ส่วนผลิตภัณฑ์อย่างอื่นตัดทิ้งหมด ว่าแล้วเธอก็จัดการโละมือถือแบล็คเบอรี่ที่ยาฮูเดิมแจกให้พนักงาน เปลี่ยนเป็นแจกไอโฟนและมือถือแอนดรอยด์ทั้งหมด เพื่อให้พนักงานเข้าสู่โลกของ Application และ ทดลองใช้ app ที่ตัวเองพัฒนาจริงๆบนมือถือเลย

ต่อมา เธอก็ดึงความร่วมมือร่วมใจจากพนักงานโดยการให้ มีบริการอาหารฟรีที่บริษัท และตัวเธอก็ร่วมทานมื้อกลางวันด้วยทุกวัน ซึ่งก็ดึงความสนใจและร่วมใจได้ดีมาก ซึ่งไอเดียนี้เชื่อว่าเธอได้มาจากกูเกิ้ลครับ เพราะกูเกิ้ลเป็นบริษัทแรกๆที่ให้พนักงานทานอาหารฟรีได้ทั้งวัน

ว่ากันว่าที่กูเกิ้ลนั้นค่าอาหารต่อวันต่อพนักงานหนึ่งคนคือ 20เหรียญ ถ้ายาฮูบริการพนักงานด้วยอาหารระดับเดียวกับกูเกิ้ลนั้น ในหนึ่งปียาฮูใช้เงินราวๆ 100 ล้านเหรียญ สำหรับค่าอาหารเท่านั้น (พนักงาน 13,000 คน)
บางคนอาจจะมองว่าเยอะ แต่ผลลัพธ์พิสูจน์ออกมาแล้วว่า แนวทางของมาริสสาทำให้ยาฮูมีรายรับเข้ามาห้าพันล้านเหรียญ ฉะนั้นค่าอาหารคิดเป็นแค่ 2% เท่านั้นเอง และเป็นการดึงมาตรฐานการดูแลพนักงานขึ้นมาให้เทียบเท่ากับกูเกิ้ลและเฟซบุ๊คอีกด้วย

นอกจากนั้นในปีที่แล้ว เธอยังจ้างวิศวกรใหม่อีก 1,000 คน ในจำนวนนี้เป็นด็อกเตอร์ 50 คน โละพนักงานหัวเก่าออกไปก็เยอะ และใช้เงินบริษัทไปตะลุยซื้อกิจการอื่นๆอีกนับพันล้านเหรียญ ซึ่งทำให้ในช่วงไตรมาสที่สามของปีก่อนเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นในงบการเงินของยาฮู

คือ....สินทรัพย์บริษัทลดลง (เพราะเอาไปซื้อกิจการชาวบ้าน) แต่กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น

ตอนแรกๆตลาดหุ้นวอลล์สตรีทก็งงกับยาฮู แต่อีกไม่นานราคาหุ้นของยาฮูก็พุ่งขึ้นเกิน 100% เพราะนักลงทุนเริ่มมั่นใจในทิศทางการบริหารของเธอ

และที่น่าทึ่งยิ่งกว่าก็คือ ในปี 2012 ที่มาริสสาเข้ารับตำแหน่งซีอีโอของยาฮูนั้น เธอเพิ่งอายุได้ 37 ปี แถมยังเพิ่งตั้งครรภ์อ่อนๆ แปลว่า...ตลอดปี 2013 เธอบริหารยาฮูในขณะที่เป็นคุณแม่ลูกอ่อน และได้รับการจัดอันดับว่าเป็นสตรีที่ทรงอิทธิพลของแมกกาซีนหลายๆเล่มอีกด้วย


ใครอยากได้เธอมาบริหารบริษัทให้... ค่าตัวของเธอคือ 300 ล้านเหรียญครับ ฟอร์บส์แมกกาซีนเขาประมาณการให้เรียบร้อย....

จุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ไทย


เคยสงสัยมั้ยครับว่า "ประวัติศาสตร์ไทย" นั้น เริ่มต้นขึ้นเมื่อไร?

อย่างที่เราเรียนวิชาประวัติศาสตร์ตั้งแต่เป็นประถมกันมา มีทฤษฎีมากมายในเรื่องที่ว่า "คนไทยมาจากไหน" เช่น มาจากเทือกเขาอัลไต (มองโกเลีย), มาจากจีน ล่าสุดก็เชื่อกันว่าจริงๆแล้วเราอยู่ในแผ่นดินสุวรรณภูมิตรงนี้มานานแล้ว

เรื่องชาติพันธุ์นั้น ตอนนี้เราคงหาคำตอบกันยังไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐาน.... คงต้องไล่สืบดีเอ็นเอกันต่อไป

แต่ที่แน่นอนก็คือว่า ประวัติศาสตร์ชาติเรานั้นเริ่มต้นประมาณ ..1800 ในสมัยกรุงสุโขทัยครับ เพราะนั่นคือครั้งแรกที่เรามี "ภาษาไทย" ที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยพ่อขุนรามคำแหง และโชคดีที่ท่านให้สลักเรื่องราวในของท่านไว้บนศิลาจารึก ทำให้เราได้รู้ว่าบรรพบุรุษของเราคือใคร

กษัตริย์องค์แรกของประวัติศาสตร์เราก็คือ "พ่อขุนศรีอินทราทิตย์" ครับ ส่วนพ่อขุนรามคำแหงนั้นเป็นพระโอรสองค์รอง แต่ทรงเข้มแข็งมากทั้งการรบและการปกครอง ว่ากันว่าอาณาจักรสุโขทัยในยุคพ่อขุนรามคำแหงนั้นใหญ่พอๆกับราชอาณาจักรไทยในวันนี้เลยทีเดียว (ไม่ใช่ใหญ่เท่าจังหวัดสุโขทัยนะครับ)

เมื่อหมดยุคสุโขทัย ก็ต่อด้วยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงเทพมหานครนี่เอง

รวมอายุของชาติเราได้ 757 ปีแล้ว (..1800 - ..2557) นับเป็นชาติที่เก่าแก่ชาติหนึ่งทีเดียว 

- อเมริกา เกิดปีพ..2319 อายุได้ 238 ปี
- ญี่ปุ่น นี่แก่มากเลย ประวัติศาสตร์เขาย้อนไปได้ถึง 660 ปีก่อนคริสตกาล ก็คงจะราวๆ 2700 ขวบได้มั้ง
- จีน ดูจะแก่ที่สุด เพราะเขาเริ่มราชวงศ์ฉิงกันตั้งแต่ยุคเริ่มต้นประวัติศาสตร์มนุษย์เลย


ก็คงเข้าใจตรงกันแล้วว่าจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์คือ "ภาษา" ครับ นั่นคือคุณสมบัติพิเศษของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่สามารถส่งต่อเรื่องราวและเทคโนโลยีได้โดยผ่านภาษานี่เอง....

ต้นแบบกรุงเทพมหานคร

ต้นแบบการสร้าง "กรุงเทพมหานคร" นั้น....มาจากไหน?

ไปเดินพระบรมมหาราชวังและวัดพระแก้วมาหลายครั้ง และทุกครั้งก็ตื่นตาตื่นใจกับสถาปัตยกรรมที่งดงามมากๆ แล้วก็จินตนาการย้อนไปเมื่อปี 2325 ที่แรกสร้างกรุงเทพฯกัน แล้วก็สงสัยว่าท่านเหล่านั้นเอาต้นแบบมาจากไหน

พอไปค้นดูในตู้หนังสือที่บ้านก็เจอเรื่องเล่าถึงเมื่อแรกสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ว่า รัชกาลที่ 1 ท่านทรงใช้ "กรุงศรีอยุธยา" เป็นต้นแบบครับ ด้วยเพราะท่านเป็นนายทหารที่มีชีวิตอยู่และได้เห็นสมัยที่กรุงศรีอยุธยางดงามรุ่งเรืองถึงขีดสุด เรื่อยมาจนกระทั่งกรุงแตก

ต้องขอบอกก่อนว่า เมื่อพม่าเข้ามาเผาอยุธยานั้น ได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างเสียจนหมดสิ้นจริงๆ ทั้งเอกสารประวัติศาสตร์ก็โดนทำลาย อาคารบ้านเรือนปราสาทราชวังก็โดนเผาทิ้งจนไม่เหลือสิ่งใดไว้ยึดเหนี่ยวชนชาติไทยเลย ประวัติศาสตร์ 417 ปีของกรุงศรีฯต้องพินาศพังภินท์ไปก็ครานั้น

เหตุที่ทหารพม่าโกรธแค้นจนต้องเผาทำลายกันย่อยยับขนาดนั้น เพราะว่าต้องทนทรมานตั้งทัพล้อมกรุงอยู่ถึง 2 ปีกรุงศรีอยุธยาจึงได้แตก 

พอจะเริ่มสร้างกรุงเทพฯนั้น รัชกาลที่ 1 ท่านก็สั่งให้ทหารกลับไปกรุงศรีอยุธยาไปรื้อเอาอิฐ หิน กำแพงที่เป็นซากปรักหักพงลงมาทั้งสิ้น แล้วนำขึ้นเรือล่องลงมายังกรุงเทพฯ ด้วยพระประสงค์ที่ว่าจะสร้างเมืองหลวงของชาติขึ้นมาให้เหมือนกรุงศรีอยุธยาเดิมให้มากที่สุด

บรรดาช่างฝีมือทั้งสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมก็รวบรวมกันมาเพื่อสร้าง "ของเก่าอันงดงามให้เกิดขึ้นมาใหม่"

เราก็เลยได้เห็นว่าในพระบรมมหาราชวังก็มีวัดพระแก้วอยู่ข้างใน เช่นเดียวกับกรุงศรีอยุธยาที่มีวัดพระศรีสรรเพชญ และกรุงสุโขทัยที่มีวัดมหาธาตุอยู่ในพระราชวัง

บรรดาปราสาทราชวังนี้เป็นความเร่งด่วนที่รัชกาลที่ 1 ท่านให้สร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นจุดยึดเหนี่ยวเราชาวไทยที่บอบช้ำครอบครัวพลัดพรากและเสียความเป็นชาติไป ให้กลับมารวมตัวกันใหม่เข้มแข็งดั่งเดิม 

งานก่อสร้างต่างๆจึงเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและงดงามด้วยความร่วมใจของชาวกรุงเก่า ใช้เวลาเพียง 3 ปี พระบรมมหาราชวังก็สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปีพ.. 2328 ด้วยความน่าพิศวงว่า "ทำได้อย่างไร" ทั้งที่เรียกได้ว่าสร้างจาก "from the ground up"

เมื่อเรามีเมืองหลวงแล้ว ความเป็นชาติก็เริ่มคืนความเข้มแข็ง ขุนพลทหารก็มีหลักยึดในการปลุกใจให้สู้รบรักษาบ้านเมืองต่อไป ซึ่งจะเห็นได้จากชัยชนะจากสงครามเก้าทัพที่พม่ายกพลมาทันทีหลังจากที่รัชกาลที่ 1 สมโภชน์พระนครเสร็จ

ความงามของพระบรมมหาราชวังนั้น บาทหลวงชาวฝรั่งเศสคือ สังฆราชปาเลอกัวซ์ ผู้ที่ได้เห็นวัดพระแก้ว 45 ปีหลังสร้างเสร็จ ได้บันทึกไว้ว่า "ของที่วิเศษที่สุดในกรุงเทพฯ คือ พระราชวังและพระอารามหลวง พระอารามหลวงนั้นงดงามวิจิตรอย่างยิ่ง อย่างที่เราชาวยุโรปจะคิดเดาขึ้นไม่ได้"


....ขอดวงพระวิญญาณของบูรพกษัตริย์และบรรพบุรุษผู้กล้าหาญของเรา สถิตย์ปกปักรักษาแผ่นดินไทยไปชั่วลูกสืบหลานด้วยเถิด....

Seal Team Six กับ โรเบิร์ต โอนีล

ตอนนี้มีข่าวดังชิ้นหนึ่งในอเมริกาครับ อ่านแล้วก็น่าสนุกดี

เราคงจำได้ว่าเมื่อปี 2011 หน่วยซีลของอเมริกันได้สังหารโอซามา บิน ลาเดน ได้ที่บ้านพักสามชั้นในประเทศปากีสถาน เป็นอันปิดฉากการตามล่าตัวศัตรูอันดับหนึ่งของอเมริกาได้ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องของชาวอเมริกันทั้งปวง โดยเฉพาะญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 9/11

งานนี้เป็นที่รู้กันทั่วโลกว่าเป็นฝีมือของซีลทีมซิกส์” (Seal Team 6) ที่ทำงานร่วมกับซีไอเอมานานหลายปี ทั้งสองหน่วยนี้เป็นหน่วยงานที่ปกปิดความลับได้ยอดเยี่ยม ไม่ว่ารายละเอียดหรือชื่อของทหารในหน่วยก็ปิดลับทั้งสิ้น

แต่หลังจากภารกิจนี้สำเร็จก็มีภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ออกมาเล่าเป็นหนังแอ็คชั่นชื่อ “Zero Dark Thirty” มันส์สะใจ นัยว่าเป็นการโชว์พาวของสหรัฐอเมริกาที่ต้องการให้โลกรู้ และอีกไม่นานก็มีสมาชิกซีลทีมซิกส์ คนหนึ่งใช้นามปากกาว่ามาร์ค โอเว่นส่วนชื่อจริงคือแมท บิสซันเน็ทออกมาเขียนหนังสือเล่ารายละเอียดทั้งหมดของปฏิบัติการสะท้านโลกนี้ในหนังสือชื่อโน อีซี่เดย์” (No Easy Day) 


แม้หนังสือเล่มนี้จะขายดิบขายดีเป็นล้านเล่ม แต่นายแมท บิสซันเน็ท ก็โดนกระทรวงกลาโหมฟ้องร้องในข้อหาเปิดเผยความลับของทางราชการ จนบัดนี้คดีความก็ยังไม่จบสิ้น 

ล่าสุด….ก็มีทหารในทีมนี้ออกมาเปิดเผยตัวเองเป็นคนที่สอง คือโรเบิร์ต โอนีลคนนี้ไม่ได้เขียนหนังสือครับ แต่เขาออกมาเปิดเผยตัวเลยว่าเขาคือผู้ลั่นไกสังหารโอซามา บินลาเดน

โรเบิร์ต โอนีลคนนี้อายุ 38 ปีครับ ทำงานในหน่วยซีลมาตั้งแต่อายุ 21 เคยทำงานในภารกิจลับมามากมาย รวมทั้งภารกิจช่วยเหลือตัวประกันจากโจรสลัดโซมาเลียในปี 2009 ที่ภายหลังฮอลลีวู้ดเอามาทำเป็นหนังชื่อ Captain Phillip ที่ฉายไปเมื่อต้นปีนี้นี่แหละ

สำหรับในภารกิจสังหารบิน ลาเดนนั้น โอนีลเล่าว่าในวันนั้นใช้ทหารซีลทีมซิกส์ทั้งหมด 23 คน มีเพียงเขาและเพื่อนทหารอีกหนึ่งคนที่ทำหน้าที่พลชี้เป้าขึ้นไปถึงชั้นสามของบ้านพัก

เมื่อทั้งคู่เข้าไปถึงห้องนอนของบิน ลาเดนแล้วพลชี้เป้าซึ่งเดินนำหน้าโอนีลอยู่นั้นพอมองเห็นบิน ลาเดนก็ลั่นกระสุนใส่ทันที....แต่พลาด โอนีลซึ่งตามมาก็เลยยิงสองนัดใส่เข้าที่ศีรษะของบิน บินลาเดน

ก่อนที่โอนีลจะลั่นกระสุนนั้น บินลาเดนได้เอามือจับไหล่ของภรรยามายืนบังตัวเองไว้ แล้วก็ผลักภรรยาเข้าใส่โอนีล โดยที่โอนีลจำได้ว่าผู้หญิงคนนั้นชื่ออามาเป็นภรรยาที่อายุน้อยที่สุด

โอนีลเล่าว่า กะโหลกของบิน ลาเดนแตกตั้งแต่โดนกระสุนนัดแรกแล้ว เมื่อบิน ลาเดนล้มลงหน้าเตียง โอนีลก็ลั่นกระสุนซ้ำอีกหนึ่งนัด และบอกว่า เขาได้อยู่จนเห็นลมหายใจสุดท้ายของบิน ลาเดนก่อนจะจากโลกนี้ไป

การที่โอนีล ออกมาเปิดเผยตัวเองทั้งรายละเอียดและชื่อจริงสู่สาธารณชนแบบนี้ ก็ได้รับเสียงสะท้อนก่นด่าถึงจรรยาบรรณจากบรรดาทหารผ่านศึกทั้งปวง ด้วยว่าทำให้ชีวิตของเพื่อนร่วมงานในแวดวงข่าวลับและทหารหน่วยรบพิเศษอื่นๆอยู่ในอันตราย รวมทั้งครอบครัวของโอนีลเองด้วย กระทรวงกลาโหมของสหรัฐก็ไม่พอใจด้วยว่าตอนนี้อเมริกาเองก็อยู่สภาวะสงครามกับกลุ่มไอเอส (อิสลามหัวรุนแรง)

แต่โอนีลก็ออกมาบอกว่า ในสังคมหน่วยรบพิเศษนั้นเป็นที่รับรู้กันอยู่แล้วว่าตัวเขาเองคือผู้สังหารบิน ลาเดนตัวจริง และตัวตนของเขายังไงก็ต้องถูกเปิดเผยในอีกไม่นานอยู่ดี

บรรดาหนังสือพิมพ์ของทั้งอเมริกาและหลายประเทศก็ประโคมข่าวนี้ หนึ่งในคำวิจารณ์ที่หน่วยซีลฟังแล้วคงต้องเจ็บจี๊ดก็คือคำว่า Quiet Professional คงจะใช้กับหน่วยนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว


….คน(อยาก)จะดัง นี่มันช่วยไม่ได้จริงๆนะครับ....

พระองค์เจ้า 6 แผ่นดิน


เราๆทั้งหลายคงคุ้นเคยกับนิยายสี่แผ่นดินของอาจารย์หม่อมคึกฤทธิ์นะครับ แม่พลอยผู้เป็นตัวละครเอกของเรื่องนี้มีชีวิตอยู่ถึงสี่แผ่นดิน คือ ในช่วงรัชกาลที่ 5 - 8 ในความรู้สึกผมนี่....เรียกได้ว่ายาวนานมากเลย 

ผมก็เลยสงสัยว่าจะมีบุคคลจริงในประวัติศาสตร์อีกบ้างไหมที่มีชีวิตอยู่ต่อเนื่องมายาวนานกว่าแม่พลอย ลองค้นหาข้อมูลจากหนังสือหลายๆเล่มก็พบว่า มีเชื้อพระวงศ์ไทยในราชวงศ์จักรีอยู่สองท่านที่มีชีวิตอยู่ถึง 6 แผ่นดิน ได้รู้ได้เห็นได้สัมผัสการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองไทยในช่วงสำคัญมาโดยตลอด

ท่านทั้งสองนั้นคือ

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐาสารี (..2408 - ..2505)
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิลิฎกุลินี (..2407 - ..2501)

ทั้งสองพระองค์เป็นพระราชธิดาของรัชกาลที่ 4 ครับ และมีชีวิตอยู่ยืนยาวจนมาถึงรัชกาลปัจจุบัน 


ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของในหลวงของเราในวันที่ 6 พฤษภาคม 2493 นั้นทั้งสองพระองค์ในฐานะที่เป็นพระญาติผู้ใหญ่ที่อาวุโสสูงสุดก็ทำหน้าที่ปูลาดพระที่ (ปูที่นอน) ถวายให้กับในหลวงและพระราชินีของเราครับ

สำหรับกรมหลวงทิพยรัตนกิลิฎกุลินีนั้น ท่านมีประวัติที่ไม่ธรรมดาเลยครับ เพราะในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้นท่านดำรงตำแหน่งเสด็จอธิบดีซึ่งเป็นตำแหน่งที่ควบคุมความเรียบร้อยของราชสำนักฝ่ายใน กล่าวคือเป็น อธิบดีกรมโขลน (แปลว่า กรมตำรวจหญิง) ของกระทรวงวัง และภายหลังรัชกาลที่ 5 ก็ทรงไว้วางใจและมอบความรับผิดชอบให้มากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นหนึ่งในผู้มีอำนาจสำคัญในสมัยนั้น ต่อมาท่านก็ดำรงตำแหน่งนี้มาตลอด 3 รัชกาล (5-6-7) เลย

ว่ากันว่า ด้วยความดุและเข้มงวดของท่าน ชาววังในสมัยนั้นกลัวเสด็จอธิบดีมากกว่าสมเด็จรีเจนท์ (สมเด็จพระบรมราชินีนาถ) เสียอีก 
แต่ในหนังสือเกิดวังปารุสก์นั้น พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ซึ่งเรียกกรมหลวงทิพยรัตนฯว่าเสด็จย่าพรกลับเล่าว่าเสด็จย่าพรผู้นี้คุยเก่งและสนุกสนานใจดีเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 นั้น คณะราษฎรได้คุกคามความปลอดภัยของพระราชวงศ์เป็นอย่างยิ่ง ท่านจึงเสด็จตามหลานชายของท่านคือ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ (ต้นราชสกุลบริพัตร”) นั่งรถไฟออกจากประเทศไทยไปพำนักอาศัยอยู่ที่อินโดนีเซีย จนกระทั่งเหตุการณ์สงบลงจึงได้กลับมาประทับอยู่ที่วังสวนผักกาด และสิ้นพระชนม์ที่โรงพยาบาลจุฬาฯในแผ่นดินในหลวงของเรานี่เอง

ว่างๆผมจะลองค้นดูครับว่ามีบุคคลใดอีกบ้างไหมที่อยู่จนถึง 7 แผ่นดิน (ไม่น่าจะมีมั้งครับ)


สำหรับผมนั้น....เพียงได้เกิดในแผ่นดินในหลวงพระองค์นี้ก็นับเป็นบุญที่สุดแล้ว....

การฝึกงานแบบเยอรมัน



พอดีได้นอนอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "จงหางานที่มีแต่คุณเท่านั้นที่ทำได้" คนเขียนเป็นคนเกาหลีครับ ชื่อ "คิม รัน โด" ตอนแรกกะว่าจะอ่านเพลินๆ แต่ไปๆมาๆก็วางไม่ลงซะงั้น

มีบทหนึ่งคนเขียนเขาเล่าถึงการเรียนสายอาชีพของเยอรมัน ซึ่งเอาจริงเอาจังกันมากๆ เพราะการศึกษาเยอรมันนั้นให้ความสำคัญกับสายอาชีพมากกว่าสายสามัญเยอะทีเดียว

ที่แฟรงเฟิร์ตนั้นทุกๆเดือนจะมีงานที่เรียกว่า Azubi ครับเป็นมหกรรมหางานสำหรับนักศึกษาที่ใหญ่มากๆ มีบริษัทมาร่วมประมาณ 80 บริษัท บรรยากาศคึกคักมากๆเพราะวัยรุ่นเยอรมันเขาจะมาหาสถานที่ฝึกอาชีพกัน

หนุ่มสาวเยอรมันนั้นมักจะเริ่มฝึกงานกันในบริษัทตั้งแต่อายุ 15-19 ปี แล้วก็ฝึกงาน(แบบมีเงินเดือนนะ) เป็นเวลา 3 ปี จนกระทั่งบริษัทรับเข้าเป็นพนักงานแล้วก็อยู่ยาวกับบริษัทนั้นยาวเป็น 30-40 ปีจนเกษียณไปเลย 

ทำให้ผมนึกถึงสารคดีของ BBC ที่มาเล่าถึงชีวิตพนักงาน Faber-Castel ผู้ผลิตดินสอเก่าแก่ของเยอรมัน ซึ่งพนักงานก็มักจะอยู่ที่นี่ยาวตลอดชีวิตเช่นกัน และเมื่อพิธีกรสอบถามเจ้าของกิจการว่า คิดจะขยายธุรกิจไปทำอย่างอื่นอีกไหม เขาตอบแต่เพียงว่า "เราเชี่ยวชาญในเรื่องการทำดินสอ"


ที่ฝึกงานกันนานขนาดนั้นเพราะเยอรมันให้คุณค่ากับความเป็น "ผู้เชี่ยวชาญ" และเป็นการประกันคุณภาพแรงงาน (เพราะฝึกเขาเองกับมือ) ก่อนที่จะมาเริ่มงาน ซึ่งการฝึกงานนั้นเป็นการลงมือฝึกอาชีพอย่างจริงจังเลยเชียว

บริษัทดังๆที่มีนโยบายแบบนี้ก็เช่น Karcher (ผลิตเครื่องดูดฝุ่นสูญญากาศ) ที่เริ่มโปรเจคท์ฝึกงานมาตั้งแต่ปี 1977 พนักงานที่นี่มีอายุงานเฉลี่ย 30-40 ปี หรือ สายการบินลุฟท์ฮันซ่า ที่รับเด็กฝึกงานราวๆ 800 คน

โปรแกรมการฝึกงานของลุฟท์ฮันซ่านั้นยาวนาน...."42 เดือน" ครับ มีทั้งเรียนภาคทฤษฎีและภาคลงมือทำงานกับช่างเทคนิคตัวจริง แทบจะเรียกได้ว่าเป็นโรงเรียนฝึกงานเลยละ ซึ่งระหว่างฝึกงานนี้ลุฟท์ฮันซ่าก็จ่ายเงินเดือนให้ด้วย เพราะถือว่าเป็นการลงทุนของบริษัทเพื่อให้ได้แรงงานที่มีฝึมือ

เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงญี่ปุ่นขึ้นมา เพราะทั้งสองชาตินี้คล้ายกันตรงที่ว่า พนักงานมักจะจงรักภักดีต่อองค์กรมากๆ เข้าทำงานที่ไหนก็จะอยู่ยาวจนเกษียณ เวลาทำงานก็จะจริงจังมากๆไม่มีมาก๊องแก๊งเฟซบุ๊คไลน์แชท และทั้งสองชาตินี้ก็ก่อสงครามโลกได้เหมือนกัน เมื่อพ่ายแพ้....ก็ฟื้นตัวได้รวดเร็วกลายเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจโลกได้อีกตะหาก

ผู้เขียนชาวเกาหลีเขาออกแนวบ่นๆนิดในหนังสือว่า วัยรุ่นชาวเกาหลีมีแนวคิดว่า "การฝึกงานได้เงินเดือนน้อยๆนั้น ถือเป็นความไม่ก้าวหน้าของคนเกาหลี" ฟังดูคล้ายๆกับวัยรุ่นไทยเหมือนกันแฮะ


อย่างไรก็ตาม ด้วยวิธีคิดแบบนี้ของคนเยอรมันนั้น ทำให้อัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวเยอรมันอยู่ที่ 7% ในขณะที่คนหนุ่มสาวชาติยุโรปอื่นๆอยู่ที่ 24% ส่วนวัยรุ่นเกาหลีว่างงานราว 3 แสนคนครับ ส่วนของบ้านเราผมยังไม่ได้หาข้อมูลครับ

วงการเฮลิคอปเตอร์



วันนี้อยากจะขอเล่าสู่กันฟังเรื่องที่เกี่ยวกับวงการเฮลิคอปเตอร์ของผมบ้างครับ เพื่อนๆจะได้รู้ว่าธุรกิจนี้เขามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง หลังจากที่เขียนเรื่องอื่นๆมานานนมอยู่

จริงๆแล้วธุรกิจเฮลิคอปเตอร์นี้จะเรียกว่าเป็น niche market หรือ "ตลาดเฉพาะกลุ่ม" ก็ว่าได้ เพราะลูกค้าเฮลิคอปเตอร์ในเมืองไทยมีค่อนข้างจำกัด เช่น บริษัทน้ำมัน, วีไอพี และ รับ-ส่งผู้ป่วย แต่ในต่างประเทศเขามีลูกค้าหลากหลายมาก เช่น ขนซุง, กู้ภัย, ตรวจสายไฟ, ส่งนักสกี, ฮอส่วนตัว ฯลฯ....เฟื่องฟูสุดๆ
แถมถ้าเทียบกับเครื่องบินแล้ว ค่าใช้จ่ายในการดูแลบำรุงรักษาเฮลิคอปเตอร์นั้นสูงกว่าเยอะ เนื่องจากเฮลิคอปเตอร์มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวเยอะมาก แถมอะไหล่แต่ละชิ้นก็มีอายุการใช้งานจำกัด จอดไว้เฉยๆก็มีค่าใช้จ่ายแล้ว นักบินก็ค่าตัวสูง (เรื่องมากอีกตะหาก)

บริษัทหรือนักลงทุนที่จะทำธุรกิจนี้จึงต้องมีสายป่านยาวพอสมควรครับ

ในโลกใบนี้นั้น มีผู้ผลิตเฮลิคอปเตอร์รายใหญ่ๆอยู่ 4 แห่งครับ คือ 

- แอร์บัส (อดีตยูโรคอปเตอร์)
- ฟินเมคานิการ์ (ยี่ห้อ AgustaWesland)
- ยูไนเต็ดเทคโนโลยี (ยี่ห้อ Sikorsky ที่ผมบินอยู่)
- เท็กซ์ทรอน (ยี่ห้อเบลล์)

เป็นที่รู้กันว่าในวงการเฮลิคอปเตอร์นั้น ลูกค้ารายใหญ่ที่สุดคือ "บริษัทน้ำมัน" ซึ่งต้องการเฮลิคอปเตอร์รับ-ส่งพนักงานแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลเป็นจำนวนมาก และต้องการเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูง เซฟตี้สูง ....พูดง่ายๆคือ "ไม่ตกง่ายๆ" หรือ "ตกแล้วไม่ตาย ว่ายน้ำหนีออกมาได้" ประมาณนั้น

การที่บริษัทน้ำมันต้องการเฮลิคอปเตอร์คุณภาพสูงนี้ ก็ทำให้บรรดาผู้ผลิตทั้งหลายแข่งกันเร่งคิดค้นและสร้างเฮลิคอปเตอร์ที่ว่าออกมา แต่ก็ทำให้ราคา "สูงมาก" ทำให้บรรดาบริษัทสายการบินทั้งหลายไม่ค่อยนิยมซื้อมาเก็บไว้เฉยๆ มักจะรอให้ประมูลได้งานจากลูกค้าก่อนจึงค่อยไปหาเฮลิคอปเตอร์มาบริการ
วิธียอดนิยมที่ใช้กันก็คือเช่า (Lease)” ครับ ซึ่งช่วยให้นักธุรกิจเจ้าของสายการบินนั้นลดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะ เพราะเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งก็ราคาราวๆ 400-500 ล้านบาทเข้าไปแล้ว และบริษัทหนึ่งก็มักจะต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ไม่ต่ำกว่า 4-5 ลำ การเช่าทำให้ช่วยลดความเสี่ยงไปได้หลายทีเดียว

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดมีธุรกิจเฮลิคอปเตอร์ลีสซิ่งขึ้นมาครับ เป็นธุรกิจใหม่เอี่ยมที่เพิ่งจะมีขึ้นในปี 2010 นี้นี่เอง ซึ่งบริษัทลีสซิ่งเหล่านี้ก็เกิดจากการร่วมทุนของบรรดานักลงทุนมหาเศรษฐีทั้งหลาย เช่น บริษัทไมล์สโตน เอวิเอชั่น กรุ๊ป (Milestone Aviation Group), บริษัท แอลซีไอ (LCI: Lease Corporation International), ไลบรากรุ๊ป (Libra Group), เวย์พอยท์ ลีสซิ่ง (Waypoint Leasing)

พวกบริษัทลีสซิ่งนี้ก็จะใช้วิธีไปติดต่อผู้ผลิตเฮลิคอปเตอร์ล่วงหน้าว่าฉันจะจองเฮลิคอปเตอร์รุ่นนี้ 10 ลำนะแล้วผู้ผลิตก็จะสร้างขึ้นมาตามสั่ง ซึ่งบางครั้งลีสซิ่งบางแห่งที่เงินหนามากๆก็จะตัดคู่แข่งโดยจองทั้งไลน์การผลิตเป็นปีๆเลย เพื่อไม่ให้ลีสซิ่งคู่แข่งหรือสายการบินได้ไป 

พอได้เฮลิคอปเตอร์มาก็จัดการปล่อยเช่าทำกำไรอีกต่อหนึ่ง ซึ่งธุรกิจที่ต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ก็ต้องออกแนวๆกลั้นใจมาเช่า เพราะต้องใช้ (นี่หว่า) แถมไม่มีทุนหนาเท่าเขา

วิธีนี้นั้นมีเสียงสะท้อนจากสายการบินทั้งหลายว่าเป็นการทำให้อุตสาหกรรมเฮลิคอปเตอร์เข้าสู่ยุค flooding the market หรือ over production เพราะเฮลิคอปเตอร์ไปอยู่ในมือคนที่ไม่ได้เอาไปใช้จริงเป็นจำนวนเยอะๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะผู้ผลิตเขาก็ต้องการเงิน ใครสั่งใครจ่าย...ก็ได้ไป

ใครจะว่าอย่างไรก็ตาม ธุรกิจลีสซิ่งเฮลิคอปเตอร์นั้นตอนนี้เฟื่องฟูมากๆ เมื่อเดือนตุลาคมปีนี้ บริษัท จีอีแคปปิตอล เพิ่งเจรจาขอซื้อกิจการของบริษัทไมล์สโตน เอวิเอชั่นไปด้วยมูลค่า 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ (คูณสามสิบเป็นเงินบาทกันเอาเองนะครับ) เพราะเห็นว่ากำไรดีเหลือเกิน

ด้วยการอัดเทคโนโลยีเข้ามาแบบจัดเต็มนี้ เชื่อว่า ราคาเฉลี่ยในอนาคตของเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้อุตสาหกรรมน้ำมันจะอยู่ที่ 250 ล้านเหรียญต่อลำ หรือ ราวๆ 750 ล้านบาทครับ

การซื้อกิจการครั้งนี้ทำให้กลุ่มจีอีเปิดโลกตัวเอง มาเข้าสู่ธุรกิจเฮลิคอปเตอร์ในอุตสาหกรรมน้ำมัน ซึ่ง ตอนนี้ทั่วโลกมีเฮลิคอปเตอร์บินให้แท่นขุดเจาะน้ำมันอยู่ราวๆ 2,000 ลำครับ

เป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนเป็นอย่างยิ่ง เพราะน้ำมันในโลกเรานั้น....ขุดได้อีกเป็น 50-60 ปีครับ ตราบใดที่เขายังไม่สร้างรันเวย์กลางทะเล.....เฮลิคอปเตอร์ก็ยังเป็นทางเลือกเดียวในการเดินทางไปแท่นขุดเจาะน้ำมันอยู่ดี (ยกเว้นว่าอยากจะนั่งเรือน่ะนะ)

Instant Gratification

วันนี้จะขอพูดถึง "Instant Gratification" หน่อยนะครับ

แปลเป็นไทยได้ว่า "ความสุขสมแบบเร่งด่วน" หรือ เป็นภาษาวัยรุ่นได้ว่า "ความฟิน บัดนาว" ได้เหมือนกัน

คำนี้เพิ่งมีมาใช้ไม่นานครับ ประมาณว่าหลังยุคไอโฟนเราไม่นานนี่เอง ฝรั่งเขาบัญญัติขึ้นมาเพื่อบอกถึงนิสัยของคนยุคใหม่ที่ไม่ชอบการรอคอย อยากได้อะไรก็ต้องได้ "เดี๋ยวนี้" ความอดทนต่างๆมีลดลง

ประเภท " I want it now!!" นั่นแหละ

มีการศึกษาว่าพฤติกรรมการเล่นอินเทอร์เน็ตในยุค 3G ที่การเชื่อมต่อรวดเร็วมหาศาลนี้ ผู้เล่นเน็ทนั้นส่วนใหญ่จะรอหน้าจอโหลดไม่เกิน 6 วินาที ถ้าโหลดไม่เสร็จภายใน 6 วินาที...มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปใช้เว็บอื่นทันที

คนยุคนี้คงลืมสมัยที่เราใช้โมเด็ม 56kbps หมุนเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ทผ่านสายโทรศัพท์ไปแล้วว่า....โหลดนานขนาดไหน

เนื่องจากพฤติกรรมมนุษย์เปลี่ยนไปเช่นนี้ นักการตลาดเขาก็เลยเอามาใช้ประโยชน์ครับ เราก็มักจะได้เห็นแคมเปญต่างๆเช่น "รูดปรื๊ด" "ผ่อน 0% สิบเดือน" "ชีวิตของเรา..ใช้ซะ" "เปลี่ยนบ้านเป็นเงิน" "เที่ยวก่อน ผ่อนทีหลัง" ออกมามากมาย....แล้วประสบความสำเร็จอย่างมากเสียด้วย

เราก็เลยได้เห็นคนวัยรุ่นหนุ่มสาวไปเที่ยวต่างประเทศกันเยอะ(รูดบัตร) ใช้มือถือราคาหลายหมื่น(ผ่อนเอา) แล้วค่อยมาผ่อนใช้หนี้กันทีหลัง สถิติหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นทุกปี

นิสัยเก็บเงินอดออมแล้วรอให้ครบจำนวน แล้วค่อยไปซื้อของเริ่มจางหายไปแล้ว

เมื่อวานผมเห็นเว็บหนึ่งนำข้อมูลการผ่อนบัตรเครดิตมาเล่าให้ฟัง มีประโยชน์เตือนใจมากครับ เขาบอกว่า สมมติเรารูดบัตรเครดิตเต็มวงเงิน 75,000 บาท แล้วจ่ายที่จำนวนขั้นต่ำ 10% ทุกเดือน (ดอกเบี้ยบัตรเครดิต 20% ต่อเดือน).......เราต้องใช้เวลา 44 ปีจึงจะจ่ายหมดครับ

เป็นไงครับ ผลของ Instant Gratification....

ในขณะที่คนยุคพ่อแม่เรานั้นท่านมีค่านิยมเก็บเงินสร้างฐานะก่อน กว่าจะได้ไปเที่ยวต่างประเทศก็เกือบๆจะเกษียณอายุโน่น....แต่ขอประทานโทษ ท่านเหล่านั้นในกระเป๋า "มีเงินสด" และในธนาคาร "มีเงินเก็บ" ครับ 

เห็นพฤติกรรม "ฟิน บัดนาว" หรือ ความอดทนต่ำแบบนี้ แล้วย้อนนึกถึงบ้านเมืองของเราว่ามีผลกระทบอย่างไรบ้าง

แน่นอนครับ....เห็นได้เลยว่า คนยุคนี้รู้สึกว่า "เปลี่ยนรัฐบาลวันนี้ ต้องมีผลงานเด็ดให้ดูพรุ่งนี้เลย.....ถ้าไม่ได้ดั่งใจ....กรูไม่เอาาา"

ของบางอย่างมันต้องใช้เวลาอดทนรอครับ จะจับโจรต้องรวบรวมหลักฐาน จะปราบโกงต้องซ้อนแผน จะช่วยเหลือประชาชนต้องวางแผน..... บ้านเมืองเราโดนทำร้ายมาตลอด สถาบันที่รักโดนให้ร้ายมานาน การจะแก้ไขสิ่งเหล่านี้ต้องการ "เวลา" ครับ


เราคงได้เห็นคดีปราบคอรัปชั่นและคดีหมิ่นในวันนี้แล้ว ขอให้ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ทำงานกันด้วยครับ บ้านเมืองกำลัง...back on track...แล้ว

พระตำหนักดอยตุง

คือพอดีว่าผมยังอินกับทริปที่ไปเที่ยวเชียงราย แล้วมีโอกาสไปชมพระตำหนักดอยตุง ได้เดินเข้าไปดูภายใน ได้เห็น "บ้านที่ดอยตุง" ของสมเด็จย่า ความประทับใจที่ผมมีก็คือ พระตำหนักแห่งนี้ "เรียบง่ายมากๆ"

ผมก็เลยกลับมาค้นคว้าจากหนังสือที่บ้านต่อ เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับพระตำหนักแห่งนี้ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เอามาเล่าสู่กันฟังครับ

ใครที่คิดว่า "พระตำหนัก" จะต้องหรูหราอลังการ ถ้าได้มาชมพระตำหนักดอยตุงจะเปลี่ยนความคิดไปเลยครับ

แรกเริ่มเดิมที ดอยตุงเป็นเทือกเขาหัวโล้นครับ ไม่ได้เขียวชอุ่มงดงามอย่างทุกวันนี้ เป็นดินสีแดงเกือบทั้งหมด ชาวเขาเผ่าอีก้อและมูเซอมาปลูกข้าวโพด มัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นฝิ่น แถมยังมีการทำไร่เลื่อนลอย ตัดไม้สุมไฟเฝาป่าจนกลายเป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมเต็มขั้น 

แถมยังเป็นพื้นที่อันตรายเพราะอยู่ใกล้ๆกับสามเหลี่ยมทองคำ ตรงรอยต่อระหว่างไทย-พม่าและลาว แล้วก็ยังเป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติดอีกต่างหาก อันตรายต่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้มากๆ

เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ในยุคนั้นก็จนปัญญา ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงมาติดต่อกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงให้มาช่วย ความทราบถึงสมเด็จย่า ท่านก็เสด็จมาดูพื้นที่ตรงนี้แล้วก็ตรัสว่า "ฉันจะปลูกป่าบนดอยตุง"

ในตอนแรกฝ่ายทหารคัดค้านเต็มที่เพราะยังเป็นพื้นที่อันตราย คอมมิวนิสท์ก็เยอะ ชนกลุ่มน้อยต่อต้านพม่าก็อยู่ไม่ไกล แต่สมเด็จย่าก็ยืนยันที่จะปลูกป่าที่นี่และทรงตั้ง "โครงการพัฒนาดอยตุง" ขึ้นเพื่อจะช่วยเหลือชาวเขาและปลูกป่าให้งามให้ได้

พอตั้งโครงการพัฒนาขึ้นมาแล้ว สมเด็จย่าก็ทรงตั้งใจจะมาประทับที่นี่เพื่อดูแลงานและพักผ่อน เนื่องจากอากาศที่นี่ดี เย็นสบายและสะอาด ดีต่อพระพลานามัย พระองค์จึงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างพระตำหนักดอยตุงขึ้น

ตอนแรกมีคนกราบบังคมทูลถามท่านว่า "จะสร้างแบบบ้านไม้บนเขาของสวิตเซอร์แลนด์หรือไม่" พระองค์รับสั่งว่า "แพง ไม่มีสตางค์"

คนที่เป็นสถาปนิกออกแบบพระตำหนักก็คือ สถาปนิกของกรมชลประทานครับ และสมเด็จย่าก็ทรงเอาใจใส่ช่วยออกแบบด้วยพระองค์เองด้วย ขณะเสด็จบนเฮลิคอปเตอร์ก็ทรงเขียนบนซองจดหมายด้วยดินสอแดง บอกมาว่า "อย่าลืมในห้องนอนต้องมีตู้ใส่ไม้กวาด"

พระตำหนักเริ่มสร้างช่วงสิ้นปี 2530 มีการลงเสาเอกแบบล้านนา เรียกว่า "พิธีปกเสาเฮือน" สร้างอยู่ 11 เดือนจึงเรียบร้อย

พระตำหนักดอยตุงมีสองชั้นครับ ออกแบบสถาปัตยกรรมผสมระหว่างบ้านล้านนากับบ้านปีกไม้ของสวิส มีกาแล พื้นใช้ไม้สักทอง ส่วนภายในใช้ไม้สนบุผนัง (ได้มาจากไม้ลังใส่ของ ซื้อจากท่าเรือคลองเตย)

ยามที่สมเด็จย่าว่างจากการเยี่ยมประชาชน ท่านก็จะทรงงานเพาะกล้าไม้ด้วยพระองค์เอง กล้าไม้เหล่านี้ภายหลังถูกนำมาใช้ปลูกป่า 9,900 ไร่ที่ดอยตุง ซึ่งโครงการก็ได้จ้างชาวเขาให้เลิกปลูกฝิ่น หันมาปลูกป่าแทน แถมยังจ้างให้ช่วยดูแลป่า ดูแลต้นไม้อีกด้วย
ต่อมาก็ทรงนำพืชเมืองหนาว เช่น แมคคาเดเมีย เกาลัด กาแฟ มาให้ชาวบ้านปลูก บริษัท เนสท์เล่ ก็มาช่วยตั้งโครงการด้วย ตอนนี้โครงการเจริญงอกงามไปถึงขั้นปลูกข้าวญี่ปุ่น ไม้ดอก กล้วยไม้ เห็ดหอม เห็ดชอมปิญอง

สมเด็จย่าเสด็จมาประทับที่นี่อยู่สม่ำเสมอเรื่อยมาจนกระทั่งสวรรคตเมื่อปี 2538 เราคงได้เห็นกันแล้วนะครับว่า จากเวลาเพียง 8 ปี....ท่านทรงพัฒนาดอยตุงจากป่าเสื่อมโทรม ให้กลายเป็นป่าสมบูรณ์ ชาวเขามีอาชีพ ดอยตุงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว

สมเด็จย่าทรงเรียกพระตำหนักดอยตุงว่า "บ้านที่ดอยตุง" ครับ ใครที่ยังไม่ได้ไป....ผมแนะนำให้ไปชม "บ้านสมเด็จย่า" สักครั้งครับ แล้วเราจะเข้าใจคำว่า "พอเพียง" ได้โดยไม่ต้องบรรยายใดๆอีก


(เนื้อหาบางส่วนผมคัดมาจากหนังสือ "พระมามลายโศกหล้า เหลือสุข" เล่มสองครับ)