ปีนี้เป็นปีพิเศษและสำคัญยิ่งคือ ทูลกระหม่อมอาจารย์ สมเด็จพระเทพรัตนฯ มีพระชนมายุครบ 60 พรรษา
เชื่อว่าคนไทยทุกคนก็รู้สึกเหมือนผม คือ "รักสมเด็จพระเทพฯ" ด้วยเหตุที่พระองค์มีพระอัธยาศัยที่ดี และ มีคุณลักษณะที่ประชาชนจะรักได้โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ
ทำให้ผมนึกถึงข้อเขียนของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ที่ท่านบอกว่า "ราชวงศ์จักรีนั้นมีคุณสมบัติพิเศษที่สำคัญคือ สามารถผลิตบุคคลที่มีความสามารถได้ทันเวลาและตรงกับยุคสมัย"
คำพูดนี้คือความเป็นจริงที่สำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศไทย เพราะถ้าเรามองย้อนกลับขึ้นไปตั้งแต่เริ่มมีกรุงเทพฯ เราจะได้เห็นว่าผู้นำหรือพระราชวงศ์ไทยในแต่ละสมัยนั้น สามารถนำชาติรอดพ้นวิกฤติได้โดยมหัศจรรย์
- รัชกาลที่หนึ่งและสอง ทรงฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมที่ถูกทำลายไปเพราะพม่าเผากรุงศรีอยุธยาเสียจนสิ้น ทรงรวบรวมผู้รู้เพื่อสร้างเมืองหลวงใหม่ สร้างโขน ละคร ศิลปะกลับคืนมา เราจึงมีพระบรมมหาราชวังและวัดพระแก้วที่งดงามให้เห็นจนวันนี้
- รัชกาลที่สาม ทรงเริ่มทำการค้าโดยเรือสำเภา ได้เงินมามากมายและเก็บรักษาไว้ในท้องพระคลัง....เงินทั้งหมดนี้อีกห้าสิบกว่าปีต่อมาถูกนำมาใช้ "ไถ่ประเทศ" จากเหตุที่ฝรั่งเศสเอาเรือรบมาปิดปากแม่น้ำ
- รัชกาลที่ห้า คือ กษัตริย์ที่ได้รับการศึกษาภาษาอังกฤษอย่างดี โดย รัชกาลที่สี่เป็นผู้เริ่มให้แหม่มฝรั่งเข้ามาสอนหนังสือในพระราชวัง รัชกาลที่ห้า จึงมีวิสัยทัศน์ที่จะส่งพระราชโอรสไปเรียนหนังสือที่อังกฤษ เยอรมัน สหรัฐอเมริกา ตัวพระองค์เองก็เสด็จไปยุโรปเพื่อสร้างพันธมิตรกับรัสเซียให้สยามรอดพ้นจากยุคล่าอาณานิคมมาได้แบบหวุดหวิด
เรื่อยมาจนถึงในหลวงรัชกาลปัจจุบัน ที่ผมคงไม่ต้องบรรยายความดีงามของในหลวงของเรามากนัก เราทุกคนก็ซึ้งแก่ใจดีอยู่แล้ว สิ่งที่สำคัญคือ ในหลวงทรงตั้งให้สมเด็จพระเทพฯทรงเป็นแม่งานในการฟื้นฟูพระบรมมหาราชวังและวัดพระแก้ว เมื่อคราวกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี พ.ศ.2525
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เล่าว่า ในขณะนั้นสภาพพระบรมมหาราชวังเสื่อมโทรมมากๆ เพราะถูกทอดทิ้งมาเกือบร้อยปี แต่ด้วยพระบารมีของสมเด็จพระเทพฯ เราก็สามารถรวบรวมเกจิอาจารย์ ครูศิลปะ ศิลปินหลายๆแขนงมาช่วยกัน แทบจะเรียกได้ว่า "ซ่อมสร้าง" ขึ้นมาใหม่ได้เหมือนเนรมิตและทันเวลาเฉลิมฉลองพระนครพอดี
ทุกวันนี้วัดพระแก้วก็คือ ความภาคภูมิใจของคนไทย แขกบ้านแขกเมืองมาเห็นก็ต้องทึ่งในความยิ่งใหญ่ในสถาปัตยกรรมของบรรพบุรุษเรา
ขณะนี้สมเด็จพระเทพฯ ก็เปรียบเสมือนเสาหลักในวงการศิลปวัฒนธรรม ความพระทัยดี (ใจดี) ของท่านทำให้รวมใจศิลปินของชาติได้ทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นดนตรีไทย เพลงลูกทุ่ง โขน ละคร ฟ้อนรำ วิจิตรศิลป์ การศึกษา สุดจะบรรยายได้หมด
ตอนผมเป็นนักเรียนนายร้อย ก็ได้เป็นประธานชมรมดนตรีไทยของ จปร. ได้มีโอกาสซ้อมดนตรีไทยร่วมกับพระองค์ท่านหลายครั้ง สิ่งหนึ่งที่ผมทึ่งก็คือ ทุกครั้งที่ได้ซ้อมดนตรีที่พระตำหนักสวนจิตรลดา พระองค์ท่านใช้เวลาเพียงนิดเดียวในการต่อเพลงที่ซับซ้อนและทรงระนาดเอกออกโทรทัศน์ได้โดยไม่มีการสะดุดหรือผิดพลาดเลย
ขณะที่ตัวผมเล่นเพลงเดียวกันกลับต้องใช้เวลาฝึกซ้อมนานหลายเดือน กล่าวได้เลยว่าท่านคือ อัจฉริยะและนักปราชญ์ของชาติไทยโดยแท้
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน เป็นมิ่งขวัญของปวงข้าพระพุทธเจ้าสืบไป
No comments:
Post a Comment