Monday, November 26, 2012

โตเกียวโดม กับ K-Wave


..."โตเกียวโดม"...วันนี้อยากพูดถึงโตเกียวโดมสักนิดหน่อย เนื่องจากกระแสเกาหลีบุกญี่ปุ่นตอนนี้แรงชัดมาก ไม่ว่าจะเป็นซัมซุงที่ทำยอดขายและการเติบโตแซงหน้าโซนี่ไปไม่เห็นฝุ่นแล้ว ยังมีดารานักน้องเกาหลีที่เข้ามาป๊อปอยู่ในญี่ปุ่นมากมายเสียจนศิลปินญี่ปุ่นเริ่มทำตาปริบๆ ...บางคนอาจสงสัยว่า..."แล้วโตเกียวโดมมาเกี่ยวไรเหรอ?" ...อ่านๆไปเดี๋ยวก็รู้เองละฮะ
โตเกียวโดม หรือ Big Egg ในแมทช์แข่งเบสบอล

อันว่าโตเกียวโดมนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1988 หรือราวๆ 25 ปีก่อนครับ ออกแบบมาเป็นสนามกีฬาในร่มขนาดยักษ์ จุคนได้กว่า 55,000 คน ซึ่งเน้นไปที่การแข่งเบสบอล เพราะรู้ๆกันดีว่าคนญี่ปุ่นคลั่งไคล้เบสบอลขนาดไหน และโตเกียวโดมเองก็เป็น "บ้าน" ของทีมเบสบอลชื่อดัง "โยมิอุริ ไจแอนท์" ด้วย (ไม่รู้ทำไมญี่ปุ่นเค้าชอบคำว่า 'ไจแอนท์' กันจัง แถวบ้านผมก็มีภัตตาคารบุฟเฟท์ปิ้งย่างญี่ปุ่นชื่อไจแอนท์)

นอกจากจะเป็นสนามแข่งเบสบอลและกีฬาอื่นๆระดับอลังการแล้ว โตเกียวโดมยังเป็นที่จัดอีเว้นท์, การแสดงโชว์ต่างๆ รวมทั้งจัดคอนเสิร์ตด้วยครับ ซึ่งบรรดานักร้องที่มาแสดงที่นี่ก็ล้วนเป็นระดับโลกเสียสิ้น เช่น มาราย แครี่, เจเน็ท แจ็คสัน, บองโจวี่, มาดอนน่า, X Japan, บริทนีย์ สเปียร์, พอล แมคคาร์ทนี่ย์ กระทั่ง ไมเคิล แจ็คสัน ก็เคยมาจัดคอนเสิร์ตที่นี่สิริรวมได้ตั้ง 25 รอบ

ทีนี้โตเกียวโดมเค้าบันทึกสถิติไว้ครับว่า "ตั๋วคอนเสิร์ตของนักร้องคนไหนขายหมดเร็วที่สุด" ผลก็ออกมาน่าสนใจมากๆเลย

- ปี 1990 ตั๋วคอนเสิร์ตเจเน็ท แจ็คสัน 4 รอบ ขายหมดภายใน 7 นาที
- ปี 1998 ตั๋วคอนเสิร์ตมาราย แครี่ ราวๆ 2 แสนใบ ขายหมดภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง
- เดือนพฤศจิกายน 2006 วงร็อคยอดฮิตของญี่ปุ่น "L'Arc-en-Ciel" (อ่านว่า ลาร์ค ออง เซีย) ขายตั๋วสองรอบหมดภายใน 2 นาที
 

โปสเตอร์คอนเสิร์ตดงบังชินกิ หรือ Tohoshinki
ณ โตเกียวโดม

และเมื่อวันที่ 1 เดือนเมษายน 2012 ตอน 10 โมงเช้า บอยแบนด์ยอดฮิตจากเกาหลี "ดงบังชินกิ" ทุบสถิติทุกคนเรียบ โดยขายตั๋วคอนเสิร์ตของวันที่ 14 - 16 เมษายน จำนวน 165,000 ใบ หมดเกลี้ยงภายใน 30 วินาที (บ้าไปแล้ว!) แถมราคาที่แฟนๆเอาไปขายต่อกันเองก็ยังเพิ่มจาก 8,500-9,500 เยนต่อใบไปเป็น 80,000 เยน หรือ "สิบเท่า" ในชั่วพริบตาเดียว....

ต่อไปถ้าใครจะทุบสถิตินี้อาจต้องไปรอซื้อตั๋วหน้าโรงพิมพ์ละมั้ง.....อ้อ ชาวญี่ปุ่นเขาไม่เรียก 'ดงบังชินกิ' เหมือนบ้านเรานะฮะ แต่เรียกว่า 'โทโฮชินกิ (Tohoshinki)'

การที่ศิลปินเกาหลีบุกญี่ปุ่นนั้นดูจะเป็นเรื่องปกติ (ชาวญี่ปุ่นเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า K-Wave) เพราะเมืองไทยเราก็บ้าเกาหลีพอๆกัน แต่สำหรับชนญี่ปุ่นที่หัวเคร่งครัดหน่อยนั้น เรื่องนี้ดูจะขัดใจมิใช่น้อย แถมว่าปัจจุบันยังมีเรื่องปัญหาแย่งหมู่เกาะกันระหว่างญี่ปุ่น-เกาหลี (เกาะ Dokdo ในภาษาเกาหลี หรือ เกาะทาเคอิชิ ในภาษาญี่ปุ่น) อีกต่างหาก ซึ่งท่าทางจะไม่จบง่ายๆเสียด้วย การต่อต้านเกาหลีในญี่ปุ่นก็ดูจะเริ่มเข้าสู่จุดที่ "คนญี่ปุ่นเริ่มจะทำอะไรบางอย่าง" แล้ว

กระแสต่อต้าน K-Wave นั้นเริ่มจากการชุมนุมประท้วงหน้าสถานีโทรทัศน์ฟูจิทีวี เนื่องจาก "ฉายละครเกาหลีมากจนไม่เหลือความเป็นช่องทีวีญี่ปุ่น" แต่ไม่ว่าความชาตินิยมของญี่ปุ่นจะเข้มขึงตึงเครียดยังไงก็ตาม ดูว่าวัยรุ่นญี่ปุ่นจะหาแคร์อันใดไม่ แถมรัฐบาลเกาหลีใต้ยังออกมาประกาศอีกว่า เมื่อปี 2010 ปีเดียวเกาหลีใต้ได้ส่งออก"บันเทิงเกาหลี"ไปให้ญี่ปุ่นเป็นมูลค่า 117 ล้านเหรียญ (ราวๆสามพันห้าร้อยล้านบาท) ด้วยตัวเลขนี้ทำให้ญี่ปุ่นคือลูกค้าบันเทิงรายใหญ่ที่สุดของเกาหลีไปโดยปริยาย.....คือคิดเป็น 70% ของทั่วโลกเชียวละฮะ

หมู่เกาะ Dokdo หรือ Takeichi หนามแทงใจชนเกาหลีและญี่ปุ่น

แม้รัฐบาลญี่ปุ่นจะหงุดหงิดแต่ก็ทำอะไรไปไม่ได้มากไปกว่าแบนดาราเกาหลีที่ประกาศจุดยืนการเมืองต่อต้านญี่ปุ่นชัดเจน เช่น ชอง อิล กุ๊ก ไม่ให้เข้าญี่ปุ่นเท่านั้นเอง เพราะรายได้ที่ญี่ปุ่นได้จากการนำเข้าบันเทิงเกาหลีก็มหาศาลเช่นกัน...และ "การเมือง" กับ "ธุรกิจ" คือสิ่งที่แยกกันได้ขาดเมื่อทั้งสองฝ่ายสมประโยชน์ครับ

Friday, November 23, 2012

ซื้อกองทุน LTF ของที่ไหนดี?

......"ซื้อกองทุน LTF ที่ไหนดี?"..... ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่ากระผมมิใช่กูรูในเรื่องการลงทุนแต่อย่างใด  เพียงแต่ว่าได้อ่านหนังสือมาบ้างสองสามเล่ม เพราะปีนี้เพิ่งเริ่มซื้อกองทุน LTF (Long Term Equity Fund) เอาไว้ลดภาษี  ก็เลยอยากจะเอาความรู้ที่ได้มาเล่าสู่กันฟังครับ

เท่าที่ได้คุยกับเพื่อนๆที่บริษัท  ก็มีหลายคนที่ซื้อ LTF และ RMF กัน ส่วนใหญ่ก็จะซื้อๆไปงั้นแหละ เพื่อให้มียอดซื้อรวมไปลดหย่อนภาษีตอนสิ้นปี ไม่ได้ศึกษาว่าไอ้กองทุนที่ซื้อไปน่ะ ทำกำไรเท่าไร?  มีปันผล (dividend) ไหม?  บางคนอาจคิดว่าไม่สำคัญ แต่อย่าลืมว่าเมื่อเราซื้อ LTF เราต้องเอาเงินไปอยู่ในกองทุนนี้ 5 ปีเชียวนะครับ แม้จะเป็นปีปฏิทินที่ซิกแซกเหลือราวๆสามปีกว่าๆได้ก็ตาม  ถ้าเลือกกองทุนที่ดีผลกำไรที่ได้อาจถึง 100% (สองเท่า)  ในขณะที่บางกองทุนอาจจะขึ้นมาแค่ 30% เท่านั้นเอง

ตารางเปรียบเทียบผลกำไรของกองทุน LTF


มีน้องคนหนึ่งแนะนำเว็บไซท์ www.siamchart.com มาครับ เป็นเว็บไซท์ที่ดีมากๆ(ขอชื่นชมคนทำเว็บมา ณ ที่นี่) ซึ่งผมก็ได้ใช้เว็บนี้เป็นข้อมูลหลักในการซื้อกองทุนของผม เพราะมันจะช่วยเปรียบเทียบกองทุนแต่ละประเภทเช่นว่า ในประเภท LTF นี้กองทุนของแบงก์ไหนหรือยี่ห้อไหนทำกำไรมากที่สุด ในช่วง 1 สัปดาห์, 1 เดือน, 3 เดือน, 1 ปี, 3 ปี แล้วก็ 5 ปี เราก็เอาข้อมูลนี้มาเปรียบเทียบกันว่าเราจะไปซื้อกองทุนของที่ไหนดีเพื่อให้เราได้กำไรสูงที่สุด (ตามภาพน่ะครับ)

ส่วนถ้าเราอยากรู้ว่ากองทุนนี้เอาตังค์เราไปลงทุนอะไร  ในตลาดหุ้น หรือ ตราสารหนี้ หรือ กองทุนน้ำมัน ก็ค่อยเข้าไปดูรายละเอียดในเว็บของแต่ละแบงก์หรือสถาบันการเงินนั้นอีกทีครับ

หน้าจอของเว็บ www.siamchart.com


วิธีการเข้าใช้ ก็เข้าไปที่เว็บ siamchart ครับ แล้วคลิกตรงคำว่า Fund มันก็จะมีเมนูให้เลือกเพิ่ม....เราก็เลือก Fund Compare ซึ่งจะนำเราไปที่หน้าจอที่เค้าเปรียบเทียบกองทุนให้  แล้วเราก็มองมาทางขวาก็จะมี drop down menu ให้เลือกว่าเราอยากจะดูผลเปรียบเทียบกองทุนประเภทไหน ทีนี้ก็จะมีกองทุนหลายประเภทเลย เช่น กองทุนตลาดเงิน (MMF), Foreign Investment Fund (FIF) และอื่นๆอีกมากมาย....ก็ลองคลิกเลือก Long Term Equity Fund (LTF) ดูครับ

ภาพประกอบที่ผมเอามา ก็จะเป็นการเปรียบเทียบ LTF ของแต่ละยี่ห้อ จะเห็นได้ว่าตอนนี้อันดับหนึ่งคือ B-LTF ที่เป็นของธนาคารกรุงเทพ (ผลงานคือ 5 ปีที่ผ่านมาทำกำไรได้ 103%)  อันดับสองคือ ABLTF ซึ่งเป็นของอเบอร์ดีน (5 ปี ได้กำไร 119%) เป็นต้น ซึ่งถ้าผมจะแนะนำมือสมัครเล่นอย่างเรา ก็เลือกกองทุนที่อยู่ภายใน 10 อันดับแรกนี่แหละครับ... จะทำกำไรให้เราได้ดีทีเดียว

ส่วน LTF อีกประเภทที่ผมว่าน่าสนใจคือ LTF with Dividend ก็แปลว่าเป็นกองทุน LTF ที่จ่ายปันผลให้เราด้วย นั่นหมายความว่านอกจากเราจะได้กำไรจากที่ผู้บริหารกองทุนไปทำผลงานดีๆมาแล้ว เขายังจะจ่ายปันผลให้กับเรา”ทุกปี”ตามจำนวนหน่วยลงทุนที่เราไปซื้อกับเค้าไว้ ซึ่งข้อสังเกตคือ LTF ประเภทนี้อาจจะมีผลกำไรระยะยาวน้อยกว่า LTF ที่ไม่จ่ายปันผล แต่ข้อดีของเค้าก็คือ เราได้เงินปันผลตลอดทุกปีครับ ไม่ต้องรอครบห้าปีจึงจะได้ใช้เงิน

ถ้าใครอยากซื้อ LTF ที่จ่ายปันผล ผมก็แนะนำให้สังเกตตรงชื่อกองทุนน่ะครับ มักจะมี DIV หรือ D ที่ย่อมาจาก Dividend (ปันผล) ต่อท้าย เช่น  KFLTFDIV ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ BIG CAP-D LTF ของบริษัทหลักทรัพย์ไอเอ็นจี เป็นต้น

โฆษณางาน SET in the City 2012

ที่เขียนเรื่องนี้ เพราะอยากให้เพื่อนๆที่กำลังจะซื้อ LTF มีเครื่องมือช่วยในการตัดสินใจครับ  เงินของเรา เราก็อยากจะเอาไปทำกำไรสูงสุดอยู่แล้ว ยิ่งช่วงปลายปีตามธนาคารหรือสถาบันการเงินเค้ามักจะมีโปรโมชั่นดีๆเริ่ดๆ แถมแก้วน้ำ, กะปิ, น้ำปลา, ยาสระผม, ร่มกันฝน, ปฏิทิน ไว้ล่อลวงเรา .....ผมแนะนำว่าก่อนซื้อก็ลองเปรียบเทียบผลกำไรดูนะครับ อย่าเห็นแก่ของแถม หรือ พริตตี้น่ารักๆตามบูธ

อย่างไรก็ตาม...การลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยงนะครับ และผมแนะนำว่าอย่าลงทุนในกองทุนกองเดียวหรือยี่ห้อเดียว พยายามกระจายๆซื้อหลายๆยี่ห้อ เผื่อยี่ห้อไหนขาดทุน เราจะได้มีของยี่ห้ออื่นอยู่ไว้ให้อุ่นใจ.....

Wednesday, November 21, 2012

กูเกิ้ลสตรีทวิว (Google Street View)


หลังจากที่ดีเลย์เพราะไปค้นคว้ามา(นิดหน่อย)ในเรื่อง “กูเกิ้ลสตรีทวิว” (Google Street View) ก็ได้ฤกษ์นำมาเล่าสู่กันฟังนะครับ ตอนนี้ก็เป็นอันที่รู้กันว่า “กูเกิ้ล” คือ เสิร์ชเอนจิ้นที่ฮิตที่สุด (แม้จะมีค่ายอื่นๆพยายามสู้เช่น Bing ของไมโครซอฟท์ แต่ก็ยังห่างชั้นจากกูเกิ้ลหลายขุมนัก) ใครมีอะไรก็ไปถามโปรเฟสเซอร์กูเกิ้ลได้ มีคำตอบให้ท่านแทบจะทุกเรื่อง นอกจากกูเกิ้ลจะช่วยในเรื่องค้นหาข้อมูลบนเว็บแล้ว อีกแอพพลิเคชั่นที่น่าสนใจก็คือ “กูเกิ้ลสตรีทวิว” นี่ละครับ
รถกูเกิ้ลสตรีทวิว

“กูเกิ้ลสตรีทวิว” นี้เป็นส่วนหนึ่งของ “Google Map” และ “Google Earth” ครับ ซึ่งความเจ๋งของมันก็คือ กูเกิ้ลใช้กล้องพาโนรามาติดบนหลังคารถยนต์วิ่งไปตามถนนหนทางต่างๆเพื่อเก็บภาพเป็นฐานข้อมูล แล้วเอาภาพเหล่านั้นมาใส่ลงในแผนที่ เวลาที่เราคลิกเข้าไปดูสถานที่ที่กูเกิ้ลเค้าไปถ่ายรูปไว้ บนหน้าจอเราก็จะโชว์รูปแบบ 360 องศา เสมือนว่าเราไปยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ สามารถหมุนดูได้รอบ, เดินตามเส้นทาง ดูภาพรอบๆตัวได้หมด....ที่สำคัญ “ฟรี” ครับ เดี๋ยวผมจะบอกวิธีเข้าไปดูครับ เห็นแล้วจะชอบ

กูเกิ้ลลงทุนกับโปรเจ็คท์นี้มาตั้งแต่ปี 2007 แล้วครับ แรกเริ่มก็ทำในเฉพาะสหรัฐอเมริกาก่อน พอถึงไป 2008 ก็เริ่มออกไปประเทศอื่นๆจนตอนนี้มีไปถึง 48 ประเทศแล้ว ประเทศไทยเราก็เอากับเขาด้วย แต่ตอนนี้ยังเก็บข้อมูลถึงแค่กรุงเทพฯ, เชียงใหม่ แล้วก็ภูเก็ตครับ
กล้อง HD Panorama 15 เลนส์พร้อม GPS ที่ติดบนหลังคารถ

กรรมวิธีของเขาก็คือ เอากล่องอุปกรณ์ติดบนหลังคารถ ซึ่งในเทคโนโลยีรุ่นล่าสุดนี้จะประกอบด้วยกล้องวีดีโอความละเอียดระดับ HD ที่มีเลนส์รับภาพ 15 เลนส์เพื่อทำภาพพาโนรามา 3D (รุ่นเดิมใช้กล้อง HD 9 ตัว แล้วใช้ซอฟท์แวร์ทำให้เป็นพาโนรามาทีหลัง) แถมด้วยเครื่องรับจีพีเอส แล้วก็วิ่งไปตามถนนหนทางหลักๆ เก็บภาพไปเรื่อยๆแล้วเอามาลิงก์กับพิกัดจีพีเอสที่ได้เพื่อนำไปพลอทลงแผนที่อีกที สำหรับในบางพื้นที่ที่รถเข้าไม่ได้ กูเกิ้ลก็จะใช้รถจักรยานสามล้อติดกล้อง (ตั้งชื่อเพราะพริ้งว่า “Trikes”) บางที่ก็ใช้รถเข็น (Trolley) สำหรับในพื้นที่หิมะก็ใช้ สโนว์โมบิล วิ่งเก็บภาพเลย ซึ่งอันหลังนี่ผมว่าเท่ห์โคตรๆ
รถ Snow Mobile ติดกล้องขณะถ่ายภาพใน Whistler

สำหรับใครที่อยากลองดูว่าคุณภาพภาพถ่ายของสตรีทวิวนี้จะแจ๋วแค่ไหนกันนะ ก็เข้าไปที่
http://www.google.com/ ครับ เสร็จแล้วก็มองไปที่แถบสีดำๆข้างบนแล้วคลิกตรง Map ครับ จะนำเราเข้าสู่ Google Map ซึ่งจะแสดงแผนที่ของสถานที่ที่เราต้องการ
- ลองพิมพ์ Siam Paragon Bangkok เข้าไปแล้วกด enter ครับ
- ทีนี้กูเกิ้ลก็จะแสดงแผนที่กรุงเทพขึ้นมา แล้วจะมีตัวชี้สีชมพูบนแผนที่ว่าเจ้าสยามพารากอนนี้อยู่ที่ไหน เราก็ลากตัวคนสีเหลืองๆ(เรียกว่า “Pegman” ที่อยู่ตรงที่เขาให้ซูมน่ะครับ) มาลงตรงตัวชี้สยามพารากอน แล้วหน้าจอก็จะเปลี่ยนไปเป็นภาพใต้สถานีรถไฟฟ้าสยาม แล้วเราก็เลี้ยวไปหมุนมาได้ตามสะดวกโยธิน

คุณภาพของภาพถ่ายที่เห็นก็จัดว่าดีเลย สำหรับในกรุงเทพฯจะเป็นภาพที่ถ่ายขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2011 ครับ



กูเกิ้ลก็โดนชาวบ้านในบางประเทศฟ้องร้องในเรื่อง “ความเป็นส่วนตัว” ครับ เพราะบางคนเขาก็ไม่อยากให้ภาพบ้านของเขาไปโชว์อยู่บนกูเกิ้ล แต่กูเกิ้ลเองก็ออกมาแถลงว่าภาพที่เขาถ่ายนั้นเป็นเวลากลางวันบนท้องถนนซึ่งใครๆก็เห็นอยู่แล้ว ไม่ได้ไปถ่ายมาตอนกลางคืนสักหน่อย ส่วนสถานที่ราชการหรือพื้นที่หวงห้ามของแต่ละประเทศ กูเกิ้ลก็จะไม่เข้าไปถ่ายทำสตรีทวิวครับ เพราะเป็นเรื่องของความมั่นคง ไปซี้ซั้วถ่ายก็อาจโดนจับได้นะฮะ
กล้องกูเกิ้ลจับภาพกวางแคริบูวิ่งอยู่หน้ารถ

หนังสือพิมพ์ในเมกาเขาไปสัมภาษณ์คนขับรถที่ถ่ายสตรีทวิวที่ไปถ่ายเจออะไรแปลกๆมา เช่น คนมากระโดดโลดเต้นรอบๆรถ, ขบวนรถม้าแห่ศพในอังกฤษ, เด็กนักเรียนกำลังหกล้มในเม็กซิโก, ไฟไหม้บ้านคน, กวางแคริบูวิ่งนำหน้ารถ, ตำรวจกำลังตรวจค้นผู้ต้องหา, หัวจ่ายน้ำดับเพลิงแตก ฯลฯ คนขับรถเขาก็เลยฝากขอร้องว่า เวลาเจอรถกูเกิ้ลติดกล้องวิ่งมา กรุณาอย่าทำอะไรพิสดาร เช่น แกล้งทะเลาะต่อยกัน หรือ กระโดดขวางรถ เพราะเขาเจอมาเยอะแล้ว ในประเทศไทยเราก็จะเห็นรถกูเกิ้ลซึ่งใช้รถฟอร์ดโฟกัสวิ่งอยู่เรื่อยๆ ส่วนในเมกาจะใช้รถยี่ห้อซูบารุ อิมเพรสซ่า หรือ เชฟโรเลท โคบอลท์เป็นหลัก แต่รถทุกๆคันก็จะมีมาตรฐานว่ากล้องจะต้องติดตั้งสูงจากพื้น 2.5 เมตรครับ
ภาพถ่ายจาก Snow Mobile ที่ Whistler Ski Resort

ใครอยากเห็นภาพที่ถ่ายจากสโนว์โมบิลก็ลองเข้าไปเสิร์ช “Whistler, BC, Canada” ดูนะครับ เป็นสกีรีสอร์ทอยู่ใน บริติชโคลัมเบียชองแคนาดา เป็นสถานที่จัดโอลิมปิกฤดูหนาวครั้งล่าสุดนี่เอง กูเกิ้ลเขาไปถ่ายไว้ตอนช่วงเตรียมจัดโอลิมปิกประมาณเดือนกุมภาพันธ์ปี 2011 ครับ

Friday, November 16, 2012

เครื่องบินโดยสารจีน C919

เครื่องบินโดยสารพาณิชย์ลำแรกของจีน Comac C919

เมื่อวานก็พูดถึงว่าที่ปธน.จีนคนใหม่ไปแล้ว  วันนี้ผมก็ขอพูดถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการบินของจีนหน่อยนะครับ  ซึ่งนับแต่จีนพัฒนาการปกครองเป็น “1 ประเทศ 2 ระบบ” ในยุคที่ฮ่องกงกลับคืนสู่จีนเมื่อปี 1997 จีนก็ได้เปิดตัวเองเพื่อรับและส่งออกเทคโนโลยีมากมายผ่านทางฮ่องกง จนวันนี้กลายจีนเป็นโรงงานของโลก และหนึ่งในเทคโนโลยีที่จีนนำมารุกโลกตะวันตกก็คือ “เทคโนโลยีการบิน” ครับ

สัปดาห์นี้คือ 13-18 พ.ย.55 เป็นช่วงที่จีนจัดงาน “จูไห่ แอร์โชว์ (Zhuhai Airshow)” ขึ้นที่เมืองจูไห่ มณฑลกวางตุ้งครับ ก็มีการนำเครื่องบินและเทคโนโลยีอวกาศมาแสดงมากมาย ทั้ง Drone (อากาศยานไร้คนขับ), เครื่องบินไฟท์เตอร์, เครื่องบินเติมน้ำมันกลางอากาศ ที่ผลิตโดยจีน แต่ที่ผมจะหยิบนำมาเล่าก็คือ เครื่องบินโดยสารพาณิชย์ C919 ที่ออกแบบมาเพื่อสู้กับโบอิ้ง 737 และแอร์บัส A-320 ครับ


ที่นั่งผู้โดยสารในเครื่องบิน Comac C919
เป็นที่รู้กันว่าเครื่องบินโดยสารพาณิชย์ตามสายการบินต่างๆทุกวันนี้ถูกผูกขาดโดยขาใหญ่สองยี่ห้อ คือ โบอิ้งของอเมริกา และ แอร์บัสของฝรั่งเศส เรียกได้ว่าเป็น Duopoly ก็ว่าได้ รัฐบาลจีนก็เลยตั้งบริษัท Comac (Commercial Aircraft Corporation of China) ขึ้นมาเมื่อปี 2008 โดยเกิดจากบริษัทการบิน + บริษัทอลูมิเนียม + บริษัทเหล็ก และบริษัทอื่นๆในจีนที่จำเป็นต่อการสร้างเครื่องบินมารวมกันเป็นบริษัทผลิตเครื่องบินพาณิชย์ของรัฐบาลจีน เพื่อทลายการผูกขาดของโบอิ้งและแอร์บัสโดยเฉพาะเลยครับ

เมื่อปี 2011 Comac ก็จับมือกับบริษัท บอมบาร์เดียร์ของแคนาดา (ผลิตเครื่องบินเป็นอันดับสามของโลก) เพื่อสร้างเครื่องบินโดยสารรุ่น C919 ขึ้นมาเป็นรุ่นแรก ที่สามารถจุผู้โดยสารได้ตั้งแต่ 160-190 คนเพื่อเอามาทำตลาดสู้กับโบอิ้ง 737 และ แอร์บัส A-320 ซึ่งก็ค่อนข้างทำได้ดีมากๆ เพราะเปิดตัวมาได้ไม่ถึงปีก็มียอดสั่งจองไปแล้ว 380 ลำ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสายการบินในประเทศของจีน เช่น ไชน่าเซาเทิร์นแอร์ไลน์, แอร์ไชน่า, ไชน่าอีสเทิร์นแอร์ไลน์, เสฉวนแอร์ไลน์  นอกนั้นก็จะเป็นพวกบริษัทจีนที่ทำธุรกิจให้เช่า (lease) เครื่องบินต่างๆ เพราะนอกจาก C919 จะบรรทุกผู้โดยสารได้แล้ว ยังทำเป็นเครื่องบินบรรทุกสินค้า (Air freight หรือ Air Cargo) ได้ด้วย


cockpit นักบิน
การสร้างเครื่องบินโดยสารนั้นใช้เทคโนโลยีขั้นสูงครับ ด้วยเหตุนี้จีนจึงต้องยอมแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีรถไฟหัวกระสุนกับ GE เพื่อให้ได้ระบบสื่อสารกับระบบนำร่องมาใช้ แล้วก็เลยทำให้ GE สั่งซื้อเครื่อง C919 อีก 20 ลำเพื่อเอามาให้เช่าต่อไป นอกจากนี้จีนก็ได้ความร่วมมือจากสายการบินไรอันแอร์ ของไอร์แลนด์ที่ส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยอีกตะหาก ทั้งนี้เพราะไรอันแอร์ก็เป็นสายการบินโลคอสใช้เครื่องบินโบอิ้ง 737 (ไซส์เดียวกับ C919) อยู่เกือบ 300 ลำ งานนี้ดูแล้วโบอิ้งกับแอร์บัสคงจะมีคู่แข่งที่น่ากลัวใช่ย่อย.....

เครื่องบิน C919 นั้นจะเริ่มบินครั้งแรกในอีกสองปีข้างหน้าคือ ปี 2014 และจะเริ่มส่งให้ลูกค้าได้ในปี 2016 ครับ และเท่าที่หาข้อมูลมาได้ ตอนนี้จีนมีกำลังการผลิตได้ปีละ 50 ลำเท่านั้น แต่เชื่อว่าอีกไม่นานคงจะเพิ่มการผลิตได้อีก และเห็นว่าถ้าโปรเจ็คท์นี้เวิร์ค จีนก็ก้าวต่อไปเพื่อผลิตเครื่องที่ใหญ่ขึ้นอีก คือ รุ่น C929 (290 คน) และ C939 (390 คน)

ไม่แน่นะครับ อีกไม่นานเราอาจจะได้นั่งเครื่องบินโดยสารจีนไปโน่นไปนี่ก็ได้.....อย่าดูถูกไปเชียว เพราะบรรดานักวิทยาศาสตร์และวิศวกรในโบอิ้งและแอร์บัสก็มีคนจีนอยู่หลายทีเดียว

คุณสี จิ้นผิง (Xi Jinping) ว่าที่ประธานาธิบดีจีน

ในโอกาสที่อีกไม่นานก็จะมีผู้นำมหาอำนาจโลก 2 ชาติมาเยี่ยมเมืองไทย คือ ปธน.สหรัฐฯ บารัค โอบามา (ที่เพิ่งชนะเลือกตั้งมาหมาดๆ) กับ นายกรัฐมนตรีจีน เวิน เจียเป่า ด้วยเหตุผลที่พอจะเข้าใจได้ก็คือ สหรัฐกับจีนกำลังจะโชว์พาวเวอร์งัดข้อกันตามภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะแถวๆบ้านเราเนื่องจากพม่าเพิ่งเปิดประเทศใหม่ๆ จีนซึ่งเป็นพี่ชายใหญ่ของพม่าก็ได้ทำให้พม่ากลายเป็นเมืองท่าของภูมิภาคนี้ (และของจีน) ไปแล้วพร้อมกับโปรเจคท์ต่างๆที่จีนเป็นคนรับสัมปทานไปทำหมดเกลี้ยง เช่น เกาะรามรี, รถไฟความเร็วสูงและโครงการท่อก๊าซ 1,700 กม. ผู้นำสหรัฐฯก็จึงจำต้องมาโชว์ตัวนิดโหน่ยนะฮะ เพื่อมิให้คนเอเชียลืมไปว่าเมกาก็อยู่แถวนี้เหมือนกัน

วันนี้ผมก็จะมาเล่าเรื่อง “ว่าที่” ประธานาธิบดีจีนคนใหม่คือ คุณสี จิ้นผิง (Xi Jinping) สักหน่อยครับ เพราะจีนนั้นก็เป็นลูกพี่ใหญ่ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับชาติไทยเราทั้งในระดับราชวงศ์, รัฐบาลจนไปถึงพ่อค้าวานิชใหญ่ๆในวงการธุรกิจไทยเลยทีเดียว


ว่าที่ประธานาธิบดีจีนคนใหม่ "สี จิ้นผิง"
ก่อนจะไปถึงเรื่องของคุณสี ก็จะขออธิบายวิธีการเลือกประธานาธิบดีก่อนละกัน คือ ด้วยความที่จีนนั้นปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสท์นั้นการแต่งตั้งกลุ่มผู้นำสูงสุดของประเทศก็จะคัดเลือกโดยพรรคคอมมิวนิสท์จีนซึ่งมีสมาชิกกว่า 82 ล้านคนครับ ทว่ามิได้มีการเลือกตั้งกันครึกโครมดังเช่นอเมริกา แต่จะเลือกกันภายในกลุ่มผู้บริหารระดับท้อปของพรรคครับ และเป็นที่รู้กันว่าตำแหน่ง “เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสท์จีน” นั้นก็คือผู้ที่จะเป็น “ประธานาธิบดีจีน” นั่นเอง ซึ่งนอกจากจะได้ตำแหน่งประธานาธิบดีแล้วยังได้เป็นประธานคณะกรรมาธิการทหาร (หรือที่บ้านเราเรียกว่า ผบ.ทหารสูงสุด) อีกด้วย สรุปง่ายๆก็คือ ครองทุกตำแหน่งสลากกินรวบนั่นเอง

ก่อนที่จะมีการประกาศทีมผู้นำสูงสุดของพรรคนั้น ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับคุณสี และแคนดิเดทอื่นๆจะถูกเก็บเป็นความลับ เพราะพรรคคอมมิวนิสท์ไม่ต้องการให้ข้อมูลแพร่งพรายออกไปสู่โลกภายนอกจนกว่าจะมีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ เราจึงไม่ค่อยได้ยินชื่อคุณสี ตามหน้าหนังสือพิมพ์สักเท่าไร แต่เมื่อวานนี้คือ 15 พ.ย.55 ก็ได้ประกาศออกมาแล้วว่า พรรคคอมมิวนิสท์จีนมีกลุ่มผู้นำสูงสุด (Politburo Standing Committee) ชุดใหม่ 7 คน (ลดลงจากเดิม 9 คน) และคุณสี เป็นผู้นำสูงสุด (Paramount Leader) ถูกวางตัวให้เป็นประธานาธิบดีสืบต่อจากคุณหู จิ่นเทา ในเดือนมีนาคมปีหน้า


7 ผู้นำสูงสุดชุดใหม่ของพรรคคอมมิวนิสท์จีน
(คุณสี จิ้นผิง ยืนกลาง)
คุณสี นั้นเดิมเป็นรองประธานาธิบดีจีนครับ ตอนนี้อายุได้ 59 ปีแล้ว เป็นบุตรของนายสี จงซุน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำพรรคคอมมิวนิสท์จีนยุคก่อตั้งและมีบทบาทสูงในพรรคตั้งแต่สมัยยุคปฏิรูปวัฒนธรรมของจีน ซึ่งตั้งแต่เกิดและโตมานั้น คุณสีก็แสดงตนเป็นผู้ที่เลื่อมใสและซื่อสัตย์ในระบอบคอมมิวนิสท์มาตลอด โดยเข้าร่วมสมาพันธ์เยาวชนคอมมิวนิสท์ตั้งแต่อายุ 18 ปี จนเข้าสู่พรรคคอมมิวนิสท์ทันทีที่อายุ 21 ปี หลังจากนั้นก็เติบโตเป็นหัวหน้าพรรคสาขาจังหวัด, มณฑล ไล่มาเรื่อยๆจนขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในวันนี้

ประวัติการศึกษาก็ถือว่าดีเยี่ยม คือ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเคมี และ ปริญญาเอกรัฐศาสตร์สาขาทฤษฎีลัทธิมาร์กซิสม์ จากมหาวิทยาลัยซิงหัว ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของจีนแผ่นดินใหญ่ และอันดับ 52 ของโลกจัดโดย Times ครับ โดยผู้นำสำคัญๆของจีนหลายท่านก็จบจากที่นี่ เช่น คุณหู จินเทา (ปธน.จีนคนปัจจุบัน) และคุณจู หรงจี (อดีตนายกฯจีน) เป็นต้น


มณฑลซีเจียง คือ หนึ่งในมณฑลชายฝั่งทะเลตะวันออก เช่นเดียวกับ
เซี่ยงไฮ้, ฟูเจี้ยน, ชางตง
อย่างไรก็ตาม คุณสีก็ถือว่าเป็นคอมมิวนิสท์ที่มีหัวก้าวหน้าและมีประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจสูง ด้วยเพราะเคยเป็นผู้ว่าการมณฑลซีเจียง (Zhijiang) และสามารถทำให้มณฑลนี้เป็นหนึ่งเขตที่มีเศรษฐกิจเติบโตสูงสุดในจีนคือ 14% ด้วยความที่ซีเจียงคือหนึ่งในมณฑลชายฝั่งทะเลตะวันออก เช่นเดียวกับจึงทำให้พลอยได้ประสบการณ์การค้า eastern seaboard รวมทั้งการเจรจาธุรกิจกับไต้หวันมาด้วย จนนำไปสู่การเข้ามาเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้นำสูงสุดของพรรคตั้งแต่ปี 2008

ในเรื่องชีวิตส่วนตัวก็ดูจะค่อนข้างปกปิดเป็นความลับครับ  เท่าที่หามาได้ก็เพียงว่าคุณสีเคยสมรสมาแล้วสองครั้ง โดยครั้งที่สองนี้สมรสกับนักร้องเพลงลูกทุ่งจีนชื่อ “ผิง ลิหยวน” มีลูกสาวหนึ่งคนชื่อ “สี หมิงซี” (Xi Mingze) ซึ่งตอนนี้เพิ่งเข้าเรียนเป็นน้องใหม่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่อเมริกาโดยใช้ชื่อปลอม นัยว่าเพื่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว แต่ผมเชื่อว่าก็คงไม่ส่วนตัวหรอกฮะ....ป่านนี้อเมริกาเขาเกาะติดเด็กสาวน้อยผู้นี้เรียบร้อยแล้วละ

ด้วยความที่บิดาเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้นำยุคแรกเริ่มของพรรคคอมมิวนิสท์จีน คุณสี ก็เลยได้ฉายาจากสื่อว่า "princeling" ซึ่งมักจะเอามาเรียกกลุ่มบุคคลเจนเนเรชั่นสองที่มีบิดามารดาเป็นผู้นำพรรคยุคแรกๆ แปลเป็นไทยก็คงทำนอง “ลูกท่านหลานเธอ” แต่อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่านี่ก็คงจะเป็นเกมส์ดิสเครดิตผู้นำจีนของสื่อตะวันตกอีกเช่นเคยละครับ เพราะการที่คนคนหนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำจีนได้ จะต้องผ่านการตรวจสอบความสามารถและความจงรักภักดีมาพอนานสมควรแล้ว

คุณสี มีชื่อเสียงในเรื่องการปราบคอรัปชั่นที่ชัดเจนมากครับ แล้วสำนักข่าวต่างๆก็ได้ทีพากันตรวจสอบทรัพย์สมบัติของญาติพี่น้องตระกูลสี ซึ่งก็ได้พบว่ามีธุรกิจมากมายหลายประเภททั้งอสังหาริมทรัพย์, เหมืองแร่ และชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ มีสินทรัพย์รวมกว่า 1.78 พันล้านเหรียญสหรัฐ (เฉพาะหุ้นในบริษัท Rare Earth) แต่ก็มิได้มีเงินหรือเอกสารส่วนใดเชื่อมโยงไปถึงตัวคุณสีและครอบครัวได้แม้แต่น้อย ก็นับว่าคุณสี แยกแยะระหว่างตำแหน่งหน้าที่ตนเองและผลประโยชน์ญาติพี่น้องให้ออกจากกันได้ดี

สำนักข่าวตะวันตกที่ล้วงลึกถึงข้อมูลธุรกิจตระกูลสีได้ซอกซอนมากที่สุด ณ บัดนี้ก็คือ Bloomberg ซึ่งก็ถูกบล็อกไปเรียบร้อยโรงเรียนรัฐบาลจีน ด้วยเหตุที่มีการพยายามโยงธุรกิจทรัพย์สินของญาติมาให้เกี่ยวกับคุณสีมากไปหน่อย....


คุณหลี่ เคอเฉียง ว่าที่นายกรัฐมนตรีจีนคนใหม่
อ้อ....ในโอกาสที่พรรคคอมมิวนิสท์จีนเปิดตัวกลุ่มผู้นำสูงสุด 7 คนชุดใหม่เมื่อวานนี้นั้น บุคคลที่น่าจับตามองอีกคนก็คือ คุณ”หลี่ เคอเฉียง” (Li Keqiang) ซึ่งตอนนี้เป็นรองนายกจีน และคาดว่าจะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีจีนต่อจากคุณเวิน เจียเปา เช่นกันครับ

ภาษาอังกฤษแบบจีนวันนี้ ขอเสนอ.. นายกรัฐมนตรีจีน = Premier of the People’s Republic of China ที่เอามาบอกเพราะเขาไม่ใช้ Prime Minister เหมือนบ้านเราฮะ.....

Thursday, November 8, 2012

คุณลัดดา แทมมี่ ดั๊คเวิร์ธ

มีน้องๆแนะนำมาให้เขียนเรื่องของ ส.ส.หญิงสหรัฐเชื้อสายไทยคนแรก “พันโทหญิง ลัดดา แทมมี่ ดัคเวิร์ธ” ครับ (Lt.Col.Ladda Tammy Duckworth) ผมก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งเพราะนอกจากว่าเธอเพิ่งจะชนะการเลือกตั้งได้เป็น ส.ส.รัฐอิลลินอยส์ไปหมาดๆแล้ว คุณลัดดายังเป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์แบล็คฮอว์คของกองทัพบกสหรัฐฯ ที่ถูกยิงตกในสมรภูมิที่อิรักจนสูญเสียขาทั้งสองข้าง เป็นหนึ่งในอเมริกันฮีโร่ในยุคนี้เลยทีเดียว ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมอาชีพ ผมก็จะขอเล่าประวัติของคุณลัดดาเพื่อเผยแพร่สักหน่อยนะครับ


คุณลัดดาเป็นลูกครึ่งไทยอเมริกันครับ ตอนนี้อายุได้ 44 ปีแล้ว คุณพ่อเป็นนาวิกโยธินสหรัฐ ชื่อ Franklin Duckworth ซึ่งเป็นทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนคุณแม่คือ คุณละไม สมพรไพลินซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีนครับ  คุณลัดดานั้นเกิดที่กรุงเทพฯและก็ย้ายตามครอบครัวไปทั่วเอเชียเนื่องจากคุณพ่อทำงานให้กับองค์การสหประชาชาตินั่นเอง คุณลัดดาจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยฮาวาย และปริญญาโทสาขารัฐศาสตร์จาก George Washington University ต่อมาก็สมัครเข้าเป็นนายทหารกำลังสำรอง (ROTC) สังกัดกองกำลังสำรองอิลลินอยส์

พอคุณลัดดาเข้าไปเป็นทหารก็เลือกเป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกสหรัฐ เพราะมีตำแหน่งในหน่วยรบเปิดสำหรับผู้หญิงเพียงไม่กี่ตำแหน่ง และ “นักบิน”ก็คือหนึ่งในนั้นด้วย  เมื่อเรียนจบจากโรงเรียนการบินแล้วคุณลัดดาก็ได้มาเป็นนักบินประจำเครื่องแบล็คฮอว์ค และเป็นผู้บังคับหมวดหญิงคนแรกของหน่วยด้วย  ด้วยความที่มีนิสัยใจดีคุณลัดดาก็มักชงโกโก้ร้อนให้ทหารในหน่วยดื่มระหว่างช่วงฝึกตอนหน้าหนาว จนบรรดาทหารเรียกเธอว่า “ผู้หมวดคุณแม่” (Mommy Platoon Leader)

จนเมื่อปี 2004 หน่วยของคุณลัดดาก็ถูกเรียกไปเข้าร่วมสงครามรุกรานอิรัก  และในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2004 นั้นเอง บริเวณริมแม่น้ำไทกริส เฮลิคอปเตอร์แบล็คฮอว์คที่คุณลัดดาเป็นนักบินก็ถูกฝ่ายอิรักยิงด้วยจรวดพุ่งตรงมาระเบิดใต้ที่นั่งของคุณลัดดาพอดี คุณลัดดาเล่าว่าเธอพยายามถีบ pedal เพื่อคอนโทรลเครื่อง แต่ก็ทำไม่ได้เพราะไม่มีเท้าทั้งสองข้างแล้ว  ส่วนนักบินที่บินด้วยก็พยายามวิทยุเรียก Mayday แต่วิทยุก็พังไปแล้วเช่นกัน


คุณลัดดาในเครื่องแบบนายทหาร
เมื่อเครื่องตกถึงพื้น ทุกๆคนที่เห็นสภาพคุณลัดดาก็คิดว่าต้องเสียชีวิตไปแล้วแน่ๆ เพราะไฟลุกไหม้หนัก ขาทั้งสองข้างขาดออกมากองอยู่ที่พื้น cockpit  ตัวคุณลัดดาเองก็ช็อคเพราะเสียเลือดอย่างหนัก ทีมกู้ภัยพยายามที่จะยื้อชีวิตเต็มที่แล้วพาเธอไปยังโรงพยาบาลสนามในแบกแดด แล้วย้ายไปยังโรงพยาบาลในเยอรมัน จนกระทั่งกลับมารักษาที่ศูนย์การแพทย์ทหารบก Walter Reed ในวอชิงตัน

คุณลัดดาได้รับเหรียญกล้าหาญ Purple Heart และเหรียญประดับเกียรติยศอีกมากมาย พร้อมทั้งได้เลื่อนยศเป็น “พันตรีหญิง” จากความกล้าหาญและเสียสละของเธอในสมรภูมิอิรักครับ ต่อมาก็ได้เลื่อนยศเป็น “พันโทหญิง” สังกัดกรมปฏิบัติการทางอากาศที่ 106 กองพลทหารราบที่ 28 (106th Aviation Regiment, 28th Infantry Division)

หลังจากวีรกรรมครั้งนั้น ทำให้คุณลัดดามีชื่อเสียงในสังคมอเมริกันและเข้ามาทำงานพรรคเดโมแครต (พรรคเดียวกับโอบามา) เธอได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงทหารผ่านศึกเมื่อปี 2009 ในยุคของโอบามานี่เอง แล้วก็เพิ่งชนะการเลือกตั้งได้เป็น ส.ส.อิลลินอยส์เขต 8 ไปหมาดๆเมื่อไม่กี่วันก่อน และจะเริ่มรับตำแหน่งในเดือนมกราคมปีหน้านี้ครับ กำลังใจที่สำคัญก็คือ ชุมชนคนลาวและคนไทยในพื้นที่เขต 8 ที่เชื่อมั่นว่าคุณลัดดาจะเป็นตัวแทนที่ดีให้พวกเขาได้....


ฮีโร่หญิงของสหรัฐฯผู้สูญเสียขาทั้งสองข้างจากสงครามอิรัก
ผมดูจากรูปและบทสัมภาษณ์ของคุณลัดดาแล้ว รู้สึกแว้บขึ้นมาในใจว่า  เมืองไทยเราน่าจะดูแลและให้คุณค่าทหารผ่านศึกของเรามากกว่านี้ มากกว่าแค่การทำดอกป๊อปปี้และขายสลากกินแบ่งครับ ทหารผ่านศึกคือผู้มีบุญคุณต่อประเทศชาติ เราอยู่กินนอนหลับสบายทุกวันนี้ก็เพราะเหล่าทหารที่....ปกป้องเป็นรั้วคุ้มครองแดนไทย เลือดเนื้อกายใจขอให้เป็นพลี มอบชีวิตเราเป็นผีเฝ้าปฐพี หากใครย่ำยีเหยียบแคว้นแผ่นดินไทย...(จบด้วยเพลงมาร์ชสี่เหล่าซะงั้น)

เกาะรามรี


เชื่อว่าหลายๆคนคงไม่รู้จัก “เกาะรามรี” นี้แน่นอนครับ ด้วยว่าเป็นเกาะเล็กๆเกาะนึงของพม่าที่อยู่ติดอ่าวเบงกอล แต่ที่ผมจะเขียนเล่าถึงก็เพราะว่าในขณะนี้เกาะรามรีก็เป็นอีกโปรเจคท์ยักษ์ใหญ่ของพม่า ที่มักจะมีคนเอามาเปรียบเทียบกับทวายโปรเจคท์อยู่เสมอด้วยความที่มีขนาดใกล้เคียงกัน และเป็นการสร้างนิคมอุตสาหกรรมขึ้นมาจากผืนดินว่างเปล่าเหมือนๆกัน

ที่ตั้งเกาะรามรี  ตรงตัว A ครับ รูปร่างเหมือนขวาน

เกาะรามรีนี้มีขนาดใหญ่กว่าเกาะภูเก็ตบ้านเราประมาณสองเท่านิดๆครับ คือราวๆ 1,300 ตร.กม. อยู่ในรัฐยะไข่ แต่แหม....จริงๆแล้วจะเรียกว่าเกาะก็ไม่สนิทใจนัก เพราะมีผืนดินเล็กๆเสมือนสะพานธรรมชาติเชื่อมเข้ากับแผ่นดินใหญ่ด้วย ก็เลยเป็นทำเลที่เหมาะจะสร้างนิคมอุตสาหกรรม เพราะตรงส่วนที่เป็นเกาะก็สามารถสร้างท่าเรือน้ำลึกได้โดยรอบ ส่วนการเชื่อมถนนเข้ากับแผ่นดินใหญ่ก็ง่าย ไม่ต้องสร้างสะพานข้ามทะเลแต่อย่างใด (นึกภาพว่าเกาะนี้คล้ายๆขวานน่ะครับ หัวขวานคือตัวเกาะ ด้ามขวานคือส่วนเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่)

เมื่อปี 2009 จีนซึ่งเป็นพี่ใหญ่ของพม่ามาแสนนานก็ส่งบริษัทรับเหมายักษ์ใหญ่ของจีนชื่อ Citic Group เข้ามารับสัมปทานพัฒนาพื้นที่ทั้งเกาะนี้ไปเลย แล้วก็ตั้งชื่อเป็นทางการว่า “โครงการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีแห่งจ๊อกพิว” (จ๊อกพิว หรือ Kwaukpyu เป็นเมืองเล็กๆอยู่ตรงมุมทางเหนือของเกาะรามรีครับ) ต่อมารัฐบาลพม่าก็ตั้งเกาะรามรีนี้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ มีการลดหย่อนภาษีหลายๆปีให้กับธุรกิจทั้งหลายบนเกาะนี้ด้วย เช่น อุตสาหกรรมไฮเทคงดภาษี 8 ปี, การผลิตต่างๆงดภาษี 5 ปี เป็นต้น เพื่อกระตุ้นนักลงทุนน่ะแหละ
ภาพโปรเจ็คท์การพัฒนาเกาะรามรี โดยบริษัท Citic Group ครับ


บนเกาะรามรีนี้จะแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซนๆครับ คือ โซนอาคารธุรกิจ, ท่าเรือน้ำลึก, ทางรถไฟ, สนามบินใหม่, อุตสาหกรรม, โลจิสติก และที่พักอาศัย พอลองไปดูตรงส่วนท่าเรือน้ำลึกนั้น นอกจากจะเป็นแหล่งขนย้ายสินค้าแล้ว ยังมีโรงซ่อมเรือสินค้าด้วย เพราะว่าพม่าตั้งใจจะใช้เกาะรามรีเป็นแหล่งส่งออก-นำเข้าสินค้าจากโพ้นทะเล ให้เรือสินค้าทุกแห่งมาเข้าใช้บริการของเขา ขนสินค้าขึ้นจากเรือแล้วก็เอาขึ้นรถไฟวิ่งผ่านจีนกับไทยไปต่อได้โลด.....ไม่ต้องไปผ่านช่องแคบมะละกาอีกต่อไป

วิธีการโซนนิ่งที่บริษัท Citic เขาโปรโมทไว้ก็คือ แบ่งพื้นที่แต่ละโซนโดยใช้พื้นที่ป่า นัยว่าเพื่อสยบเสียงต่อต้านจากกลุ่มสิ่งแวดล้อมไปในตัว อ้อ นอกจากจะมีพื้นที่อุตสาหกรรมแล้ว ก็ยังแบ่งบางส่วนเป็นชายหาดสำหรับนักท่องเที่ยวด้วยเหมือนกัน
เส้นทางท่อส่งน้ำมันและก๊าซขึ้นไปยังมณฑลยูนนานของจีน

แต่ที่เป็นไฮไลท์ที่สุดของอุตสาหกรรมบนเกาะนี้ก็คือ “ท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ” ครับผม จีนร่วมลงทุนกับพม่าต่อท่อส่งน้ำมันและก๊าซยาวกว่า 1,500 กิโลเมตร เริ่มจากอ่าวเบงกอล ลากพาดพม่ายาวเฟื้อยขึ้นไปถึงคุนหมิงของจีนโน่น ทำให้จีนไม่ต้องไปซื้อหาแหล่งพลังงานจากที่ไหนอีก เพราะจีนขุดเองในอ่าวเบงกอลนั่นน่ะแหละ แถมท่อนี้ยังเป็นจุดเชื่อมให้จีนสามารถรับน้ำมันและก๊าซจากตะวันออกกลางได้อีกตะหาก ไม่ต้องพึ่งปตท.ของไทยและ Gazprom ของรัสเซียอีก แถมกำลังจะมีแผนสร้างทางรถไฟขนานไปกับท่อก๊าซเพื่อให้สินค้าจีนส่งออกไปยังตลาดโลกง่ายขึ้นด้วย โดยใช้พม่าเป็นท่าเรือนั่นเอง

ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเกาะรามรี ก็จะเจอเรื่องสยองอย่างหนึ่งครับ คือ ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อครั้งที่ญี่ปุ่นเข้ายึดครองเกาะรามรีนี้นั้น ฝ่ายอังกฤษพยายามอย่างหนักที่จะยึดพื้นที่นี้คืนจากญี่ปุ่น สองฝ่ายรบกันไปมาอยู่ 6 สัปดาห์ จนกระทั่งวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1945 ทหารญี่ปุ่นราว 900 คนโดยฝ่ายอังกฤษรุกไล่จนต้องล่าถอยข้ามหนองน้ำในตอนกลางคืน แต่ก็หารู้ไม่ว่า ในหนองน้ำที่ยาวแค่ 16 กม.นั้นเต็มไปด้วยจระเข้น้ำเค็มนับพันตัว ทหารญี่ปุ่นประมาณ 400 คนโดนจระเข้น้ำเค็มขย้ำจนตายเกลื่อนคาหนองน้ำนั้น ที่เหลือรอดมาได้ก็บาดเจ็บมากมาย
พื้นที่วงกลมสีเหลืองทางขวาคือจุดที่เกิดโศกนาฏกรรม
จระเข้น้ำเค็มโจมตีทหารญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2

ทหารอังกฤษได้จดบันทึกเหตุการณ์สยดสยองนี้ไว้ว่า พวกเขาได้ยินเสียงปืนและเสียงร้องโหยหวน พร้อมกับเสียงกรามจระเข้บดขยี้กระดูกมนุษย์ตลอดทั้งคืน เช้าวันต่อมาก็เห็นฝูงแร้งลงมากินซากที่เหลือจากจระเข้.....เหตุการณ์นี้ได้รับการบันทึกในกินเนสส์บุ๊คว่า เป็น “The Greatest Disaster Suffered from Animals” เลยละฮะ

เขียนไปเขียนมากลายเป็นจระเข้กินญี่ปุ่นซะงั้น   เอาเป็นว่าเกาะรามรีนี้อนาคตจะกลายเป็นประตูเชื่อมเศรษฐกิจระหว่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับโลกภายนอก โดยเฉพาะตะวันออกกลางและยุโรปครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็แอบเสียใจว่า ถ้าไทยเราขุดคลองกระตั้งแต่แรก เราคงกลายเป็นเมืองท่าสำคัญแทนพม่าไปแล้ว  อย่างไรก็ดี  ตอนนี้เราก็คงวางโพสิชั่นตัวเองในฐานะ crossroad ระหว่างจีน,พม่า, ลาว, กัมพูชาและเวียดนาม เพราะการสร้างทางรถไฟในบ้านเราก็จะทำให้เราเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าไปโดยปริยาย

Sunday, November 4, 2012

ราคาที่ดินเพลินจิต

วันนี้ได้ไปพาร์ค เวนเจอร์ ตรงแยกเพลินจิต  มองลงมาเห็นเค้ากำลังก่อสร้างห้างเซ็นทรัลเอ็มบาสซี่ ซึ่งเดิมเป็นที่ดินของสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ ผมจำได้ว่าเมื่อสักหกปีก่อน (ช่วงปี 2549) ดีลการขายที่ดินสถานทูตอังกฤษนี้เป็นที่ฮือฮาไปทั่ว เพราะเป็นการขายที่ดินด้วยราคาที่แพงที่สุดในประเทศไทย คือ ตารางวาละ 9.5 แสนบาท ในใจผมตอนนั้นนึกตำหนิของสถานทูตอังกฤษ ด้วยว่าที่ดินตรงนั้นมีความหมายทางประวัติศาสตร์มากเกินกว่าจะเอามาขายทำห้างสรรพสินค้า  วันนี้ก็เลยจะนำเรื่องราวเกี่ยวกับที่ดินละแวกเพลินจิตนี้มาเล่าให้ฟังครับ


โครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี่ 
โปรดสังเกตว่ามีสะพานเชื่อมมาเซ็นทรัลชิดลมด้วยนะฮะ
สถานทูตอังกฤษในเมืองไทยเรานั้นเริ่มมีตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ครับ คือ ประมาณช่วงปี พ.ศ.2400  ในสมัยนั้นในหลวงรัชกาลที่ 4 พระราชทานที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้สร้างสถานกงสุลอังกฤษข้างๆกับกงสุลโปรตุเกส  แถมยังทรงให้กู้เงินสร้างอาคารอีก 16,000 บาท  (ตอนนั้นยังเป็นกงสุล ไม่ได้อัพเกรดเป็นสถานทูตเหมือนทุกวันนี้) อยู่ไปอยู่มาจนถึงปี 2465 กงสุลอังกฤษก็เริ่มบ่นว่า อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยานี้เรือกลไฟเยอะควันพิษมาก เสียงพ่อค้าแม่ขายก็ดัง บ่นมากๆเข้ารัฐบาลไทยก็เลยไปหาที่ดินตรงแถวๆเพลินจิตมาให้

ที่ดินตรงนี้ก็คือที่ตั้งสถานทูตอังกฤษปัจจุบันนี่แหละครับ  เดิมเป็นสวนของพระยาภักดีนรเศรษฐ บุคคลที่พวกเราคุ้นในนามว่า “นายเลิศ” นั่นเอง  สถานทูตอังกฤษนั้นเข้าไปครอบครองครึ่งหนึ่งของที่ดินนายเลิศ คือราวๆ 28 ไร่ (12 เอเคอร์) แต่ในสมัยปี 2465 นั้น เชื่อมั้ยว่า....พื้นที่เพลินจิตนั้นเรียกว่าเป็นพื้นที่รอบนอกของกรุงเทพมหานครแล้ว  ทางชาวอังกฤษและลิ่วล้ออังกฤษในเมืองไทย (เช่น อินเดีย พม่า) ก็โวยวายพอสมควรเพราะว่าไกลความเจริญ ไม่มีรถราง รถไฟไปถึง

สำหรับที่ดินส่วนที่เหลืออีก 28 ไร่ของนายเลิศนั้น ทุกวันนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นที่ตั้งโรงแรมสวิสโซเทค นายเลิศปาร์ค หรือที่เดิมเป็นโรงแรมฮิลตัน (พาร์คนายเลิศ) นั่นเองครับ ลูกหลานก็สบายไปเรียบร้อย ใครเล่าจะไปทราบว่าเรือกสวนไร่นาของบรรพบุรุษเมื่อเกือบร้อยปีก่อนนั้น จะมีราคาต่อตารางวาสูงสุดในประเทศไทย.....


การก่อสร้างเซ็นทรัล เอ็มบาสซี่ในปัจจุบัน
พอมาถึงเดือนพฤษภา 2549 สถานทูตอังกฤษก็ขายที่ดิน 1 ใน 3 (ประมาณ 9 ไร่) ให้กับเครือเซ็นทรัล ด้วยราคาที่แพงที่สุดในเมืองไทยคือ ตารางวาละ 950,000 บาท  บริษัทที่เป็นนายหน้าให้สถานทูตอังกฤษก็คือบริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส นั่นเองครับ  ซึ่งต่อมาก็เปิดเผยว่า การประมูลนี้มีผู้ยื่นซองประมูลหลายเจ้า  เช่น แลนด์แอนด์เฮ้าส์ก็ยื่นประมูลที่ราคาตารางวาละ 888,888 บาท, บริษัททีซีซีแลนด์ของคุณเจริญก็เสนอตารางวา 700,000 บาท .....ป้าดดด  แพงขนาด

สถานทูตอังกฤษก็ให้เหตุผลเพียงว่า  ที่ดินติดถนนเพลินจิตที่ขายไปนั้นเสียงดัง มีมลพิษเยอะ แล้วก็จะเอาเงินที่ได้มาประมาณ 3,600 ล้านบาทนั้นไปปรับปรุงอาคารที่เหลืออยู่เพราะเก่าเต็มทีแล้ว   (โถ....ฟังเหตุผลแล้วผมก็ยังรู้สึกแหม่งๆอยู่ดีละฮะ)

แต่ทว่าตอนนี้สถิติราคา 9.5 แสนบาทต่อตารางวาก็ถูกทุบไปเรียบร้อยแล้วครับ  ถ้าเคยไปยืนบนสถานีบีทีเอสเพลินจิต แล้วมองไปข้างๆตึกโฮมโปรจะเห็นที่ดินเปล่าๆอยู่แปลงนึงขนาด 7.5 ไร่ ตรงนั้นเรียกได้ว่าเป็นทำเลทองอีกแห่งนึงของเพลินจิต ผู้ครอบครองคือบริษัทเพลินจิต อาเขต ซึ่งเมื่อต้นปี 2552 ได้ขายทั้งหมดไปให้กับบริษัทไรมอนด์แลนด์ไปเรียบร้อยแล้วด้วยราคา 1.2 ล้านบาทต่อตารางวาฮะ....นับเป็นสถิติใหม่ของสยามประเทศเลยทีเดียว  อ้อ...นายหน้าของดีลประวัติศาสตร์นี้คือ บริษัท ไอเดีย 360 ร่วมกับธนาคาร CIMB ครับผม


ที่ตั้งโครงการโนเบิล เพลินจิต
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ที่ดินตรงนั้นก็ยังเปลี่ยนมือไปมา  ล่าสุดเห็นว่าไรมอนด์แลนด์ก็ขายต่อไปให้กลุ่มโนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ไปแล้ว  ราคาก็อัพไปอัพมาบ้างก็ว่าไปถึงตารางวาละ 1.5 ล้านไปแล้ว.....แต่ยังไม่มีใครคอนเฟิร์มเท่านั้นเอง  โดยกลุ่มโนเบิลเค้าก็เอามาทำโครงการคอนโดระดับโคตรแห่งความหรู ชื่อ "โนเบิล เพลินจิต" ราคาขายตารางเมตรละประมาณ 2 แสนบาทเท่านั้นเอง  (...อู๊ยย  ถูกยังกะได้เปล่า พ่อเจ้าประคุณเอ๊ย)

รามอินทราแถวบ้านผมยังวาละสองสามหมื่นอยู่นะฮะ.....ใครสนใจมาเป็นเพื่อนบ้านได้  ซื้อเก็บไว้สักร้อยปีราคาอาจถึงวาละล้านได้เหมือนกัน ถ้าโลกไม่แตกเสียก่อน.....

Thursday, November 1, 2012

เอกลักษณ์ของเจมส์ บอนด์ 007



เท่าที่ดูเจมส์ บอนด์ มาหลายๆภาค ผมก็พอจะสังเกตได้ว่าเฟอร์นิเจอร์ที่ประกอบขึ้นมาเป็นภาพลักษณ์เจมส์ บอนด์นั้นมีหลายๆอย่างที่ดูแล้วคลาสสิคมาก  อาจเรียกได้ว่าเจมส์ บอนด์นั้นเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นผู้ดีอังกฤษเลยทีเดียว ด้วยว่าข้าวของที่ใช้นั้น มีคลาสและราคาแพง  ผมก็เลยจะมาเล่าให้ฟังว่า ในภาค Skyfall นี้  พี่แดเนียล เครก แกใช้อะไรบ้างนะฮะ


Aston Martin DB5 รถประจำตัวเจมส์ บอนด์
1. รถยนต์แอสตัน มาร์ติน รุ่น DB5  หรือเรียกสั้นๆว่า “ดีบีไฟว์” ก็เป็นที่รู้กันว่ารถยนต์ยี่ห้อนี้เป็นหนึ่งในแบรนด์รถอังกฤษคลาสสิคครับ  รูปร่างหน้าตาดูแล้วคล้ายๆกับพอร์ช เคย์แมน สวยสปอร์ตคลาสสิคมากๆ โดยเฉพาะเจ้าดีบีไฟว์นี้ บริษัทแอสตัน มาร์ตินผลิตออกมาช่วงปี 1960 แค่ 1,000 กว่าคันเท่านั้น  แล้วก็เอามาให้เจมส์ บอนด์ (ฌอน คอนเนอรี่) ขับครั้งแรกในภาค Goldfinger (ภาคที่ 3 ของหนังชุดเจมส์ บอนด์) แล้วก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของสายลับเจ้าเสน่ห์คนนี้ไปเลย  แล้วพี่เจมส์ บอนด์ก็เปลี่ยนไปใช้เบนท์ลีย์บ้าง โรเวอร์บ้าง แล้วเริ่มนำดีบีไฟว์กลับมาอีกหลายๆภาค เช่น  GoldenEye, Tomorrow never dies ยืดยาวมาจนถึง Casino Royale, Quantum of Solace จนถึง Skyfall นี่ละฮะ


2. มาร์ตินี่ (Martini)  เป็นเครื่องดื่มคอกเทลที่เจมส์ บอนด์ดื่มแบบ “เขย่า ไม่คน” (Shaken, not stirred) นะฮะ  ซึ่งวลีนี้เป็นวลียอดฮิต ซึ่งปรากฏในแทบๆทุกภาคของเจมส์ บอนด์เลย  อันมาร์ตินี่นั้น ผสมขึ้นมาจากเหล้าจินกับเวอร์มูธ (Vermouth) แล้วก็หย่อนมะกอกหรือมะนาวเสี้ยวลงไปหน่อยครับ  ผมเองก็ไม่เคยดื่ม แต่เห็นว่าเมาง่ายมากเลย  สำหรับวลี “Shaken, not stirred” นี้ เคยมีมหาวิทยาลัยในแคนาดาเค้าเอาไปวิจัยว่ามันจะต่างกันยังไง  ผลก็คือ มาร์ตินี่”เขย่า” จะมีแอนติออกซิแดนท์ (ต้านอนุมูลอิสระ) สูงกว่า มาร์ตินี่แบบ“คน” นะฮะ  (ไปดื่มน้ำส้มดีกว่าถ้างั้นน่ะ)   ทว่าเท่าที่ผมได้ยินมา เขาว่าแบบ “เขย่า” จะเย็นอร่อยกว่าแบบ”คน” นะครับ 

นอกจากมาร์ตินี่แล้ว   เจมส์ บอนด์ดื่มแชมเปญ Bollinger กับ Dom Perignon ครับ


Walther PPK ในภาค Skyfall
3. ปืนพกที่เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของเจมส์ บอนด์คือ วอลเธอร์ พีพีเค (Walther PPK) ครับ บางครั้งก็ใช้รุ่น P99 สลับไปมาแล้วแต่ภาค เป็นปืนพกใช้กระสุนขนาด 9 มม. สัญชาติเยอรมันครับ ในยุคแรกๆ พี่เจมส์ บอนด์จะใช้ปืนพกเบเรตต้า 418 ซึ่งใช้กระสุนขนาดจิ๋ว คือ 6.35 มม.  เพราะจะพกพาสะดวกสมกับเป็นสายลับ  แต่ในยุคหลังๆก็รู้สึกจะไม่ค่อยแคร์เท่าไร  บางทีเล่นควงปืนกลก๋าเลยก็มี เช่น ในโปสเตอร์เจมส์บอนด์ภาค Quantum of Solace เป็นต้น สำหรับในภาคนี้เจมส์ บอนด์ใช้ Walther PPK ที่มีลูกเล่นพิเศษคือ ตรงด้ามจับจะเซนเซอร์ตรวจลายมือด้วย  ถ้าไม่ใช่มือของบอนด์ ก็จะยิงไม่ออกฮะ

Omega Seamaster

4. นาฬิกา  ในยุคแรกๆ เจมส์ บอนด์จะใช้โรเล็กซ์ รุ่น Submariner  แล้วก็ไซโก้ รุ่นอะไรก็ไม่รู้  ทว่านับตั้งแต่เพียร์ซ บรอสแนนมาเป็นเจมส์ บอนด์ก็จะใส่โอเมก้า รุ่น Sea Master ครับ แล้วก็ใส่มาตลอดจนมาถึงแดเนียล เครกเลย  และถ้าใครสังเกตก็จะเห็นว่าพี่แกใช้มือถือโซนี่ อิริคสัน มาหลายภาคละ....


สูทของ Tom Ford
5. ชุดสูท  สำหรับในภาค Skyfall นี้  สังเกตได้ว่าสูทของเจมส์ บอนด์ดูเนี้ยบและเข้ารูปมากกว่าภาคอื่นๆ  ทางคอสตูมดีไซเนอร์เลือกใช้ยี่ห้อ Tom Ford ครับ ก็เป็นยี่ห้อเดียวกับในภาค Quantum of Solace น่ะแหละครับแต่ก็เปลี่ยนสีมาเป็นสี Charcoal และเป็นสูทแบบสามกระดุมแบบเปิดเม็ดบน  ทางเจ้าของแบรนด์เขาบอกว่า ดาราฮอลลีวู้ดเช่น แบรด พิทท์, จอห์นนี่ เดปป์, วิล สมิธ ก็เป็นลูกค้าของเขาเหมือนกัน  ดูท่าจะแพงน่าดู..... แต่ผมก็แปลกใจอยู่อย่างนึงว่า แบรนด์ Tom Ford นี้เป็นของอเมริกัน  ในขณะที่เจมส์ บอนด์นั้นเป็นหนังที่โปรโมทความเป็นอังกฤษเต็มที่ ทำไมไม่ใช้สูทยี่ห้อดีๆของอังกฤษ ซึ่งมีอยู่มากมาย เช่น ดันฮิล (Dunhill),  Anderson & Sheppard หรือ H. Huntsman เป็นต้น

โอ้....เขียนมาซะยาวเชียว  :)