Friday, May 3, 2013

คุณมาร์กาเร็ต แททเชอร์

ขอหวนคืนกลับมาเขียนบทความต่อนะครับ หลังจากที่มัวแต่ทำโน่นนี่ ก็เลยร้างลาการเขียนไปนานเลย วันนี้หัวข้อที่จะเขียนถึงก็คือ เรื่องคุณมาร์กาเร็ต แททเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษผู้ล่วงลับนั่นเอง และงานศพของเธอจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ ณ วิหารเซนท์พอล มหานครลอนดอน เมื่อ 17 เมษายน 2556 นี้เองครับ ที่เขียนนี่ก็เพราะมีน้องๆในป่ามะพร้าวเวิลด์ของผม พูดถามกันว่า คุณมาร์กาเร็ตคือใคร? วันนี้ก็เลยจะมาเล่าให้ฟังครับ

คุณมาร์กาเร็ต ฮิลด้า แททเชอร์ หรือที่จะเรียกเต็มยศแห่งบรรดาศักดิ์ที่ได้รับก็คือ "บารอนเนส แททเชอร์ แห่งเคสทีเวน" นั้นเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกและคนเดียวแห่งสหราชอาณาจักรครับ เธอดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2522-2533 กล่าวคือ ชนะการเลือกตั้งสามสมัยรวด (11ปี) ซึ่งเป็นสถิติที่ยาวนานมากๆ และทำให้คุณมาร์กาเร็ตเป็นบุคคลในระดับตำนานคนหนึ่งของการเมืองโลก ด้วยความที่เธอมีบุคลิกภาพที่เด็ดขาด เข็มแข็งและไม่ค่อยจะฟังใคร จนมีผู้สื่อข่าวรัสเซียตั้งฉายาให้เธอว่า "สตรีเหล็ก" (Iron Lady) และบรรดาคอการเมืองอังกฤษก็ขนานนามระบบการบริหารของเธอว่า "ลัทธิแททเชอร์" (Thatcherism)

นโยบายที่โดดเด่นในยุคมาร์กาเร็ตก็คือ สนับสนุนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจแบบสุดขั้ว (ฟังคล้ายๆเมืองไทยเมื่อเกือบสิบปีก่อน) เอากิจการสาธารณูปโภคของรัฐทั้งไฟฟ้า ประปา เหล็ก มาแปลงเป็นบริษัทเอกชน ซึ่งเป้าหมายของเธอก็คือ ต้องการปรับปรุงระบบการทำงานที่ล่าช้าสุดๆของราชการให้เกิดการแข่งขันขึ้น ก็เป็นที่แน่นอนครับว่าต้องมีการต่อต้าน แต่ในท้ายที่สุดผลการแปรรูปก็ส่งผลดี เพราะอังกฤษในสมัยนั้นมีคนตกงานมากมาย การแปรรูปทำให้เกิดบริษัทลูกงอกขึ้นมาก็เลยมีการจ้างงานมากขึ้น

ต้องขอบอกก่อนว่า โลกในยุคคุณมาร์กาเร็ตนั้น เป็นโลกในยุค"สงครามเย็น"ครับ โซเวียตและลัทธิคอมมิวนิสท์ยังกล้าแกร่งอยู่ ด้วยความที่คุณมาร์กาเร็ตนั้นรังเกียจลัทธิคอมมิวนิสท์แบบสุดขั้วเช่นกัน อังกฤษก็เลยจับมือกับอเมริกาทำสงครามเย็นกับโลกคอมมิวนิสท์ มีการติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในยุโรป รวมทั้งไปซื้อขีปนาวุธนิวเคลียร์ไทรเดนท์จากอเมริกาเข้ามาประจำการในกองทัพเรืออังกฤษ มีปฏิบัติการสายลับเกลื่อนยุโรปไปหมด รวมทั้งส่งหน่วยรบพิเศษ SAS ของอังกฤษไปฝึกให้เขมรแดง (เพื่อให้เขมรแดงเป็นกองกำลังไปรบกับเวียดนาม ซึ่งเป็นคอมมิวนิสท์สายโซเวียตอีกทีหนึ่ง)

ในภาพยนตร์สายลับเจมส์บอนด์ 007 ในภาค "For your eyes only" ที่ออกฉายในปี 2525 ก็เลยมีบทนายกอังกฤษของคุณมาร์กาเร็ตเข้ามาในภาพยนตร์ด้วยเพื่อความสมจริงของยุคแห่งสายลับนั่นเอง
 

นอกจากคุณมาร์กาเร็ตจะถูกทดสอบด้วยยุคสงครามเย็นแล้ว เราคงจำกันได้เลาๆถึงเรื่องกบฏ IRA (ซึ่งเป็นกองกำลังที่จะปลดปล่อยไอร์แลนด์เหนือ) ที่มักจะก่อความรุนแรงเป็นประจำบนเกาะอังกฤษ ซึ่งในช่วงปี 2519-24 นั้นมีการจับกุม IRA มาขังคุกมากมาย ซึ่งบรรดานักโทษเหล่านี้ก็ได้รับการดูแลอย่างเลวร้าย จนกระทั่งมีการอดข้าวประท้วงขอให้ปรับปรุงความเป็นอยู่ในคุกและปล่อยตัวนักโทษการเมือง จนกระทั่งนักโทษอดข้าวตายไปเก้าคน รัฐบาลอังกฤษก็จึงผ่อนปรนสิทธิบางอย่างให้นักโทษหลังจากแข็งกร้าวมานาน โดยคุณมาร์กาเร็ตกล่าวว่า "Crime is crime is crime, it's not political" การณ์ครั้งนี้นำไปสู่การลอบสังหารคุณมาร์กาเร็ตในเดือนเมษายน 2525 งานนั้นมีคนตายไปห้าคน ส่วนคุณมาร์กาเร็ตรอดได้อย่างหวุดหวิดทีเดียว

อีกเหตุการณ์หนึ่งที่เป็นจุดทดสอบความเป็นผู้นำของเธอก็คือ "สงครามหมู่เกาะฟอล์คแลนด์" ในปี 2525 ซึ่งหมู่เกาะนี้จริงๆแล้วเมื่อร้อยปีก่อนเป็นของอาเจนติน่า แต่อังกฤษได้มายึดไว้ในสมัยล่าอาณานิคม ซึ่งก็ดูจะไม่มีปัญหาอะไรจนกระทั่งรัฐบาลอาเจนติน่านึกเฮี้ยนไปกินดีหมีมา นำกำลังทหารหมื่นคนกลับเข้าไปยึดฟอล์คแลนด์ไว้ อังกฤษก็เลยส่งขบวนกองทัพเรือ ซึ่งมีเรือดำน้ำติดขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่ซื้อมาจากเมการ่วมขบวนไปด้วย สงครามครั้งนี้กินเวลาไม่ถึงสองเดือนอังกฤษก็ชนะ แต่ทหารทั้งสองฝ่ายก็บาดเจ็บล้มตายมากมาย สูญเสียยุทโธปกรณ์ไปพอๆกัน มีผู้ให้ความเห็นว่าเป็นสงครามที่ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น แต่อังกฤษต้องทำเพื่อโชว์ความพร้อมรบของกองทัพให้โลกคอมมิวนิสท์เห็น อาเจนติน่าก็เลยเจ็บตัวฟรี

ชัยชนะที่หมู่เกาะฟอล์คแลนด์เป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ทำให้คุณมาร์กาเร็ตชนะการเลือกตั้งครั้งที่สองครับ

คุณมาร์กาเร็ตเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษเรื่อยมาจนสงครามเย็นยุติลงในปี 2531 เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย...เยอรมันตะวันตกและตะวันออกกลับมารวมประเทศกัน...การลดจำนวนอาวุธนิวเคลียร์... จนกระทั่งถึงสมัยที่ซัดดัม ฮุสเซ็นส่งกำลังทหารเข้าไปยึดคูเวต คุณมาร์กาเร็ตนี้เองก็ประกาศตัวว่ารัฐบาลอังกฤษจะสนับสนุนกองทัพสหรัฐในสงครามอ่าวเปอร์เซียอีกด้วย นับว่าเป็นหญิงเหล็กสมชื่อ

เธอเป็นบุคคลร่วมยุคสมัยกับโรนัลด์ เรแกน(สหรัฐฯ), มิคาอิล กอร์บาชอฟ(โซเวียต), เติ้ง เสี่ยวผิง (จีน), พอล พต (กัมพูชา), ซัดดัม ฮุสเซีน (อิรัก) และกัดดาฟี่ (ลิเบีย) ครับผม ซึ่งบรรดาบุคคลเหล่านี้ก็ล้วนแต่ลาโลกไปแล้วทั้งสิ้นด้วยกรรมต่างๆกันไป ทิ้งชื่อไว้เพียงในประวัติศาสตร์ให้เราจดจำครับ
See More

No comments:

Post a Comment