เท่าที่ได้คุยกับเพื่อนๆที่บริษัท ก็มีหลายคนที่ซื้อ LTF และ RMF กัน ส่วนใหญ่ก็จะซื้อๆไปงั้นแหละ เพื่อให้มียอดซื้อรวมไปลดหย่อนภาษีตอนสิ้นปี ไม่ได้ศึกษาว่าไอ้กองทุนที่ซื้อไปน่ะ ทำกำไรเท่าไร? มีปันผล (dividend) ไหม? บางคนอาจคิดว่าไม่สำคัญ แต่อย่าลืมว่าเมื่อเราซื้อ LTF เราต้องเอาเงินไปอยู่ในกองทุนนี้ 5 ปีเชียวนะครับ แม้จะเป็นปีปฏิทินที่ซิกแซกเหลือราวๆสามปีกว่าๆได้ก็ตาม ถ้าเลือกกองทุนที่ดีผลกำไรที่ได้อาจถึง 100% (สองเท่า) ในขณะที่บางกองทุนอาจจะขึ้นมาแค่ 30% เท่านั้นเอง
ตารางเปรียบเทียบผลกำไรของกองทุน LTF |
มีน้องคนหนึ่งแนะนำเว็บไซท์ www.siamchart.com มาครับ เป็นเว็บไซท์ที่ดีมากๆ(ขอชื่นชมคนทำเว็บมา ณ ที่นี่) ซึ่งผมก็ได้ใช้เว็บนี้เป็นข้อมูลหลักในการซื้อกองทุนของผม เพราะมันจะช่วยเปรียบเทียบกองทุนแต่ละประเภทเช่นว่า ในประเภท LTF นี้กองทุนของแบงก์ไหนหรือยี่ห้อไหนทำกำไรมากที่สุด ในช่วง 1 สัปดาห์, 1 เดือน, 3 เดือน, 1 ปี, 3 ปี แล้วก็ 5 ปี เราก็เอาข้อมูลนี้มาเปรียบเทียบกันว่าเราจะไปซื้อกองทุนของที่ไหนดีเพื่อให้เราได้กำไรสูงที่สุด (ตามภาพน่ะครับ)
ส่วนถ้าเราอยากรู้ว่ากองทุนนี้เอาตังค์เราไปลงทุนอะไร ในตลาดหุ้น หรือ ตราสารหนี้ หรือ กองทุนน้ำมัน ก็ค่อยเข้าไปดูรายละเอียดในเว็บของแต่ละแบงก์หรือสถาบันการเงินนั้นอีกทีครับ
หน้าจอของเว็บ www.siamchart.com |
วิธีการเข้าใช้ ก็เข้าไปที่เว็บ siamchart ครับ แล้วคลิกตรงคำว่า Fund มันก็จะมีเมนูให้เลือกเพิ่ม....เราก็เลือก Fund Compare ซึ่งจะนำเราไปที่หน้าจอที่เค้าเปรียบเทียบกองทุนให้ แล้วเราก็มองมาทางขวาก็จะมี drop down menu ให้เลือกว่าเราอยากจะดูผลเปรียบเทียบกองทุนประเภทไหน ทีนี้ก็จะมีกองทุนหลายประเภทเลย เช่น กองทุนตลาดเงิน (MMF), Foreign Investment Fund (FIF) และอื่นๆอีกมากมาย....ก็ลองคลิกเลือก Long Term Equity Fund (LTF) ดูครับ
ภาพประกอบที่ผมเอามา ก็จะเป็นการเปรียบเทียบ LTF ของแต่ละยี่ห้อ จะเห็นได้ว่าตอนนี้อันดับหนึ่งคือ B-LTF ที่เป็นของธนาคารกรุงเทพ (ผลงานคือ 5 ปีที่ผ่านมาทำกำไรได้ 103%) อันดับสองคือ ABLTF ซึ่งเป็นของอเบอร์ดีน (5 ปี ได้กำไร 119%) เป็นต้น ซึ่งถ้าผมจะแนะนำมือสมัครเล่นอย่างเรา ก็เลือกกองทุนที่อยู่ภายใน 10 อันดับแรกนี่แหละครับ... จะทำกำไรให้เราได้ดีทีเดียว
ส่วน LTF อีกประเภทที่ผมว่าน่าสนใจคือ LTF with Dividend ก็แปลว่าเป็นกองทุน LTF ที่จ่ายปันผลให้เราด้วย นั่นหมายความว่านอกจากเราจะได้กำไรจากที่ผู้บริหารกองทุนไปทำผลงานดีๆมาแล้ว เขายังจะจ่ายปันผลให้กับเรา”ทุกปี”ตามจำนวนหน่วยลงทุนที่เราไปซื้อกับเค้าไว้ ซึ่งข้อสังเกตคือ LTF ประเภทนี้อาจจะมีผลกำไรระยะยาวน้อยกว่า LTF ที่ไม่จ่ายปันผล แต่ข้อดีของเค้าก็คือ เราได้เงินปันผลตลอดทุกปีครับ ไม่ต้องรอครบห้าปีจึงจะได้ใช้เงิน
ถ้าใครอยากซื้อ LTF ที่จ่ายปันผล ผมก็แนะนำให้สังเกตตรงชื่อกองทุนน่ะครับ มักจะมี DIV หรือ D ที่ย่อมาจาก Dividend (ปันผล) ต่อท้าย เช่น KFLTFDIV ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ BIG CAP-D LTF ของบริษัทหลักทรัพย์ไอเอ็นจี เป็นต้น
โฆษณางาน SET in the City 2012 |
ที่เขียนเรื่องนี้ เพราะอยากให้เพื่อนๆที่กำลังจะซื้อ LTF มีเครื่องมือช่วยในการตัดสินใจครับ เงินของเรา เราก็อยากจะเอาไปทำกำไรสูงสุดอยู่แล้ว ยิ่งช่วงปลายปีตามธนาคารหรือสถาบันการเงินเค้ามักจะมีโปรโมชั่นดีๆเริ่ดๆ แถมแก้วน้ำ, กะปิ, น้ำปลา, ยาสระผม, ร่มกันฝน, ปฏิทิน ไว้ล่อลวงเรา .....ผมแนะนำว่าก่อนซื้อก็ลองเปรียบเทียบผลกำไรดูนะครับ อย่าเห็นแก่ของแถม หรือ พริตตี้น่ารักๆตามบูธ
สวัสดีครับ เพิ่งเข้ามาอ่านบล็อคครั้งแรกก็เรื่องนี้ และได้อ่านอีกหลายๆเรื่องในบล็อคของคุณ ชอบครับ อ่านสนุกดี ได้ความรู้หลายๆเรื่องด้วย ขอบคุณครับ :)
ReplyDeleteขอบคุณมากครับ :) ผมก็เขียนไปเรื่อยๆตามประสาครับผม
ReplyDeleteขอบคุณครับ
ReplyDeleteดีค่ะ ;)
ReplyDelete