Saturday, May 4, 2013

วอร์เรน บัฟเฟทกับธุรกิจการบิน


เชื่อว่าใครที่เล่นหุ้นคงรู้จักวอร์เรน บัฟเฟทปรมาจารย์ด้านการลงทุนแน่นอนนะฮะ  และก็คงทราบดีว่าบัฟเฟทนั้นเป็นซีอีโอของบริษัท เบิร์กไชร์ แฮททาเวย์ และด้วยความสามารถอันเอกอุในการวิเคราะห์ความสามารถของบริษัทต่างๆ ทำให้คุณบัฟเฟทเป็นมหาเศรษฐีลำดับต้นๆของโลกด้วยการเข้าไปซื้อหุ้นและซื้อบริษัทที่ผลประกอบการดีๆมาไว้มากมาย ที่เรารู้จักก็เช่น Dairy Queen, ไอบีเอ็ม, ไฮนซ์(ซอสมะเขือเทศน่ะแหละ) ฯลฯ  จนกลายเป็นมหาเศรษฐีคนเดียวที่รวยจากการ "เล่นหุ้น"

ปรมาจารย์ด้านการลงทุน "วอร์เรน บัฟเฟท"


ผมจะไม่พูดถึงประวัติคุณบัฟเฟทละกัน เพราะมีหนังสือมากมายในตลาดอยู่แล้ว ใครอยากรู้ก็ไปซื้อมาอ่านเอาเองละกัน  วันนี้ผมจะพูดถึงคุณบัฟเฟทกับธุรกิจการบินครับ  โดยหนึ่งในบริษัทที่คุณบัฟเฟทไปซื้อมาก็คือ  FlightSafety International ครับ (ซื้อทั้งบริษัทเลย) อันเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันที่ทำธุรกิจ"เทรนนิ่ง" ทั้งนักบิน, ช่าง, dispatcher, ลูกเรือ และบุคลากรทุกชนิดในวงการการบินครับ  โดยเฉพาะนักบินก็จะต้องเข้ามาฝึกบินในซิมูเลเตอร์ที่ FlightSafety นี่เองปีละครั้งสองครั้งทุกคนไป

FlightSafety International

บริษัทผมก็ส่งนักบินไปเทรนในซิมูเลเตอร์ที่นี่มาหลายปีครับก่อนจะเปลี่ยนไปเทรนที่อื่นในช่วงสองปีหลัง โดยคุณบัฟเฟทก็ซื้อที่นี่มาเมื่อปี 1996 ด้วยราคา 1.5 พันล้านเหรียญแล้วก็ควบรวมมาเข้ากับบริษัทเบิร์กไชร์ แฮททาเวย์ของเขา  การที่คุณบัฟเฟทเข้ามาร่วมวงในธุรกิจการบินก็ทำให้ธุรกิจนี้ดีขึ้น (คงเพราะด้วยชื่อเสียงของลุงแก) บรรดาบริษัทผลิตเครื่องบินหรือเฮลิคอปเตอร์ต่างก็มาให้ FlightSafety จัดการเทรนนิ่งให้ เช่น บอมบาร์เดียร์ และ กัลฟ์สตรีม  ส่วนเฮลิคอปเตอร์ก็มี Sikorsky แล้วก็ Augusta Westland เป็นต้น

ก่อนหน้านี้คุณบัฟเฟทก็ซื้อบริษัทชื่อ NetJets ที่เป็นสายการบินเช่าเหมาลำมาครับ (หลังจากใช้บริการเองอยู่สามปีก็ซื้อมาเป็นของตัวเองเสียเลย) แล้วก็เอาทั้ง NetJets และ FlightSafety มารวมเป็นส่วนหนึ่งของเบิร์กไชร์ แฮททาเวย์เซอร์วิส ครับ ซึ่งผลกำไรนั้นดูแล้ว FlightSafety จะเป็นตัวช่วยดึง NetJets ไว้มาก แต่ภาพรวมก็ยังดูดีอยู่

บรรยากาศในศูนย์ฝึกอบรม Simulator 

ธุรกิจ FlightSafety นั้น คุณบัฟเฟทจัดให้อยู่ในระดับ Good เท่านั้น (แกมีสามระดับคือ Great, Good และ Gruesome) เพราะว่า FligthSafety จะต้องซื้อซิมูเลเตอร์ใหม่แทบจะทุกปี ราคาเฉลี่ยเครื่องละ 12 ล้านเหรียญ และการที่จะทำให้ธุรกิจนี้เดินไปได้เรื่อยแกจะต้องลงทุนปีละราวห้าร้อยกว่าล้านเหรียญ  นี่ยังไม่นับสายการบิน NetJets ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วอเมริกา, ยุโรปและเอเชียนะครับ ซึ่งแกบอกว่าข้อนี้คือข้อเสียของธุรกิจการบิน เพราะต้องใช้เงินลงทุนสูงกว่าธุรกิจอื่นเพื่อจะคงอยู่ในตลาดและทำกำไรต่อไป ยิ่งเป็นสายการบินแล้วยิ่งไปกันใหญ่

ยกตัวอย่างการบินไทยครับ ต้องลงทุนซื้อ Airbus 380 เข้ามาหลายลำเพื่อรักษาตำแหน่งของสายการบินระดับพรีเมี่ยมไว้ ก็เลยต้องระดมเงินมหาศาลมาซื้อเครื่องบินใหม่ๆ นี่ถ้าไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้นและมีกระทรวงการคลังช่วยอาจจะแย่ไปแล้ว  ส่วนนกแอร์และบางกอกแอร์เวย์นั้นก็กำลังยื่นเรื่องขอเข้าตลาดหุ้นเหมือนกัน คาดว่าทั้งสองสายการบินคงจะเปิดขายหุ้น IPO ภายในปีนี้ครับ  สาเหตุก็น่าจะมาจากหาทางระดมทุนนั่นเอง

ล่าสุดเมื่อกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา FlightSafety ก็บุกตลาดอินเดีย ไปร่วมกับบริษัทอินเดียชื่อ Aviators India เปิดศูนย์เทรนนิ่งอยู่ที่เมืองบังกาลอร์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะในช่วงแรกจะเน้นการเทรนลูกเรือ (Flight Attendant) เป็นงานหลัก เรื่องเทรนนักบินและช่างจะเติบโตตามทีหลัง และคาดว่าธุรกิจนี้จะโตเป็นสองเท่าภายใน 5-7 ปีเลยเชียว

Friday, May 3, 2013

Money Expo 2013

พอดีช่วงนี้ผมอ่านหนังสือเงินๆทองๆหุ้นๆมากไปหน่อย  ก็เลยอินไปกับเรื่องลงทุนๆนิดนึง  วันนี้ก็เลยจะมาชวนกันไปงาน Money Expo 2013 ครับ ซึ่งเค้าจะจัดในวันที่ 9-12 พฤษภาคม 2556 นี้ละครับ ที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ที่อาคารชาเลนเจอร์ 2-3 ครับ  งานนี้ก็เหมาะสำหรับทุกท่านที่มีแผนจะเก็บเงินหรือลงทุน และไม่อยากจะเอาเงินไปจมอยู่กับดอกเบี้ยออมทรัพย์ที่น้อยนิดต่ำเตี้ยครับ



แบนนเนอร์โปรโมทงาน Money Expo 2013
 งานนี้ก็อย่างที่ว่า คือ เค้าจะรวมเอากิจกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวกับเงินๆทองๆมานำเสนอ  ตั้งแต่เอาธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์มานำเสนอสินค้าตัวเอง  ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้น, ทอง, พันธบัตร, กองทุน, สินเชื่อทุกชนิด, อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ ใครอยากเปิดพอร์ทเล่นหุ้น หรือ เปิดบัญชีกองทุนรวม (ทั้ง LTF, RMF หรือกองทุนแบบอื่นๆ) ก็สามารถมาทำได้ในงานนี้เลยครับ แค่ถือบัตรประชาชนและสมุดบัญชีที่มีอยู่มาด้วย  สามารถทำได้จบกระบวนการในวันเดียว  ปกติถ้าเราจะเปิดกองทุนของหลายๆแห่ง เราต้องใช้เวลาหลายๆวันกับหลายๆที่กว่าจะจบ  งานนี้ช่วยทุ่นเวลาเราไปได้เยอะครับ

งานนี้เค้าแบ่งออกเป็น 8 โซน แต่โซนที่ผมสนใจมีอยู่สองโซน ก็คือ โซน 2 คือ โซนตลาดทุน (Investment Zone) เป็นโซนของการลงทุนทุกชนิดที่ผมว่าไปข้างต้นครับ บรรดาโบรกเกอร์ก็จะมารับเปิดพอร์ทเล่นหุ้น บรรดาธนาคารหรือหลักทรัพย์ก็จะมารับเปิดบัญชีกองทุนรวม  อีกโซนหนึ่งก็คือ โซน 6 ซึ่งเป็นโซนอสังหาริมทรัพย์ (Property Zone) โดยบรรดาบริษัทสร้างบ้านหรือคอนโด เช่น แลนด์แอนด์เฮ้าส์, แสนสิริ, พฤกษา จะมาเปิดตัวโครงการพร้อมกับให้ธนาคารมาเสนอโปรโมชั่นสินเชื่อให้ในงานเลยเชียว ซึ่งผมมองว่ามันสะดวกดีสำหรับคนอยากซื้อบ้านน่ะครับ


บรรยากาศของงานครั้งก่อนๆ คนมันเยอะครับ
ก่อนไปให้วางแผนตัวเองไว้ก่อนเป็นดี
คำแนะนำจากผมก็คือว่า  ถ้าใครต้องการซื้อกองทุนรวม ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมทั่วไป หรือ LTF หรือ RMF ให้ค้นหาข้อมูลตั้งแต่บัดนี้เลยว่าเราจะซื้อกองทุนของที่ไหน ชื่อกองทุนอะไร จะซื้อเท่าไร หรือ ถ้าจะเปิดพอร์ท ก็หาข้อมูลว่า ของโบรกเกอร์ไหนมีเงื่อนไขซื้อขายขั้นต่ำเท่าไร  คิดค่าธรรมเนียมต่อครั้งเท่าไร วางแผนตัวเองไว้คร่าวๆก่อนครับ จดเป็นลิสท์ได้ยิ่งดี เพราะในงานจะมีพริตตี้น่ารักๆ+ของแถม+โปรโมชั่นยั่วยวนใจมาดึงให้สติสัมปชัญญะในการตัดสินใจของท่านลดลง  พอเรามีข้อมูลในมืออยู่แล้วก็ทำตามที่วางแผนไว้  พอทำได้ตามแผนครบแล้ว ค่อยมองดูสิ่งอื่นๆที่น่าสนใจเพิ่มเติมนะครับ

พริตตี้สาวที่พร้อมจะนำเสนอโปรโมชั่นมากมาย
คำแนะนำอีกอย่างของผมก็คือ จำนวนเงินที่จะเปิดซื้อกองทุนในงานก็ไม่ต้องเยอะมาก  เพราะราคามันจะแพงกว่าปกติ (ก็เพราะคนแห่ไปซื้อในงานเดียวกันวันละเป็นหมื่นคนไงครับ ราคาก็เลยพุ่ง) ให้ซื้อแค่พอเปิดกองทุนได้ก็พอ แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยๆทยอยซื้อเอาครับ ถ้าทุ่มซื้อในงานตอนนี้จะแพงพอๆกับช่วงปลายปีที่คนแห่กันไปซื้อ LTF นาทีสุดท้ายวันที่ 29 ธันวาเพื่อให้ทันลดหย่อนภาษีน่ะครับ

ส่วนท่านที่เปิดกองทุนไว้อยู่แล้ว ก็ควรจะซื้อก่อนที่งาน Money Expo จะเปิดนะครับ ท่านจะได้ราคาที่ไม่แพงเกินไปนัก  และระหว่างนี้บรรดาสถาบันการเงินต่างๆก็จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกมาครับ  น่าสนใจอยู่เหมือนกัน


เท่าที่ผมดูมา  ในงานนี้ทางแบงก์กรุงเทพก็มีเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาชื่อ BSIRIRMF ชื่อภาษาไทยก็คือ กองทุนเปิดบัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาลเพื่อการเลี้ยงชีพ (โปรดสังเกตว่า เป็นกองทุน RMF ก็เลยมีชื่อภาษาไทยต่อท้ายว่า “เพื่อการเลี้ยงชีพ”  ถ้าเป็น LTF มักจะชื่อว่า “กองทุนรวมหุ้นระยะยาว....” ครับ) เป็นกองทุนที่เอาเงินเราไปลงทุนในบริษัทมหาชนทั้งหลายที่ผลประกอบการดีๆ  ซึ่งตอนนี้เขาก็ไม่บอกว่าจะไปลงในบริษัทอะไร  แต่เท่าที่ผมดูข้อมูลของกองทุนชื่อแบบเดียวกันคือ BSIRICG อันนี้เป็นกองทุนเปิดที่ลงทุนในบริษัทมหาชนเช่นกัน  กองทุนนี้เปิดตัวเมื่อ 1 เมษายนปีที่แล้ว  ผ่านไปหนึ่งปีราคาหุ้น(หน่วยลงทุนน่ะแหละ)เติบโต 47% ซึ่งถือว่าใช้ได้เลย

โดยบริษัทที่ BSIRICG เขาไปลงทุนก็คือ บริษัทผลิตไฟฟ้า, บริษัท SC ASSET, ธนาคารกรุงเทพ, บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี, บริษัท BAFS (บริการน้ำมันเชื้อเพลิงในสนามบิน) ฯลฯ ครับ

ส่วน BSIRIRMF ในงานนี้นั้นเค้าจะเปิดตัวที่ราคาพาร์ (ราคาเริ่มขายครั้งแรก) คือ 10 บาท ครับ ซื้อครั้งแรกอย่างต่ำห้าพันบาท  ใครสนใจก็ลองดูละกัน แต่อย่าลืมว่า RMF นั้น กว่าจะถอนใช้ได้เราก็ต้องอายุ 55 ปีนะครับ ผมแนะนำว่าพวก RMF นี้ มีไว้สักหน่อยก็ดีนะ จะซื้อของอะไรก็แล้วแต่ครับ ทยอยซื้อเดือนละสองพันสามพันไปเรื่อยๆ  พอแก่ตัวมันก็จะงอกงามไกลกว่าที่เราคิด มีเงินก้อนใช้ด้วย เอามาลดหย่อนภาษีได้อีกตะหาก

งาน Money Expo นี้ นอกจากจะจัดที่กรุงเทพฯในช่วง 9-12 พฤษภาคมนี้แล้ว ก็ยังมีแผนที่จะไปเปิดต่อที่นครราชสีมา (9-11 สิงหาคม), อุดรธานี (4-6 ตุลาคม) และเชียงใหม่ (8-10 ธันวาคม) อีกครับ ใครพลาดงานนี้ก็....นั่งเครื่องบินไปร่วมที่จังหวัดอื่นละกันนะฮะ

ดร.วีรชัย พลาศรัย

29 เมษายน 2556

วันนี้มารู้จักคุณวีรชัย พลาศรัย หัวหน้าทีมทนายฝ่ายไทยกันดีกว่าครับ ถึงแม้ว่ากระแสข่าวตอนนี้จะซาลงไปเพราะฝ่ายการเมืองพยายามลบกระแส แต่ผมก็อยากจะเชิดชูยกย่องข้าราชการที่มีความสามารถ เพราะผลงานที่คุณวีรชัยฝากฝีมือไว้ในศาลโลกเป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนภาคภูมิใจว่ากรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี แม้ผลพิจารณาคดีจากศาลโลกยังไม่ออกมา แต่แค่เห็นทีท่าหงุดหงิดฉุนเฉียวของรมว.ต่างประเทศกัมพูชาหลังพิจารณาคดี....ผมก็สบายใจแล้วละ
ดร.วีรชัย พลาศรัย หัวหน้าทีมทนายฝ่ายไทย

ดร.วีรชัย พลาศรัยนั้น ตำแหน่งเต็มยศของท่านในขณะนี้คือ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ครับ ส่วนตำแหน่งหัวหน้าทีมทนายฝ่ายไทยนั้นเป็นหน้าที่เฉพาะกิจครับ ซึ่งสาเหตุรัฐบาลอภิสิทธิ์แต่งตั้งให้ดร.วีรชัยดำรงทั้งสองตำแหน่งนี้เมื่อ 26 พฤษภาคม 2552 นั้นก็เพราะกรุงเฮกนั้นเป็นที่ตั้งของศาลโลกนั่นเองครับ

โดยตัวของดร.วีรชัยนั้น เรียกได้ว่าเป็นลูกหม้อของกระทรวงการต่างประเทศ(กต.)เลย เพราะได้ทุนกระทรวงไปเรียนตรี-โท-เอกที่ประเทศฝรั่งเศส โดยจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของโลกเชียวนะ (ก่อตั้งมาแต่ปี ค.ศ.1213 โน่นน่ะครับ ผีคงดุน่าดู) พอเรียนจบมา ดร.วีรชัยก็ทำงานที่กต.เรื่อยมาจนเจริญก้าวหน้าสู่ตำแหน่งสำคัญคือ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันในความรู้ความสามารถด้านกฎหมายของดร.วีรชัยได้เป็นอย่างดี และตำแหน่งนี้นี่เองก็ทำให้ดร.วีรชัยโดนพิษการเมืองเล่นงาน โดยตอนที่นายนพดล ปัทมะเป็นรมว.กต. ก็จัดการเด้งฟ้าผ่า ดร.วีรชัยเพราะไม่ตอบสนองความต้องการของฝ่ายนักการเมือง

สาเหตุของการเด้งเมื่อปี 2550 ก็คือ กรมสนธิสัญญาในขณะนั้นมีหน้าที่แปลเอกสารคดีซีทีเอ็กซ์ ที่คตส.จะนำมาดำเนินคดีคอรัปชั่นกับทักษิณ ซึ่งฝ่ายการเมือง(ก็รัฐบาลฝ่ายทักษิณน่ะแหละ)พยายามจะขอเอกสารแปลฉบับนี้ แต่ดร.วีรชัยผู้เป็นอธิบดีก็ตอบกลับไปว่า หากต้องการก็ให้ทำหนังสือมาเป็นลายลักษณ์อักษร จะมาขอปากเปล่าไม่ได้ เพราะเป็นเอกสารลับที่เกี่ยวข้องกับคดีคอรัปชั่น บรรดาสำเนาเอกสารจะต้องระบุว่าไปอยู่กับใครบ้าง ฝ่ายการเมืองก็เลยเด้งดร.วีรชัยออกจากตำแหน่ง

ประพฤติดังว่าได้รับการคัดค้านจากคุณวีระศักดิ์ ฟูตระกูลปลัดกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นอย่างชัดเจน เพราะท่านเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงข้าราชการในกรมสนธิสัญญา มีใจความตอนท้ายที่น่าสนใจว่า “...ขอให้ข้าราชการทุกท่านของกรมสนธิสัญญาฯยึดถือท่านอธิบดีวีรชัยเป็นบุคคลตัวอย่างที่ได้ปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติอย่างสุดความสามารถ และรักษาเกียรติยศของชาติ ของกระทรวงการต่างประเทศ และของตนอย่างสมศักดิ์ศรีของข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

ภายหลัง ดร.วีรชัยก็กลับมาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสนธิสัญญาอีกครั้งหนึ่งครับ และพอถึงปี 2552 รัฐบาลประชาธิปัตย์ก็ตั้งท่านให้เป็นเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงเฮกดังที่ทราบกันในวันนี้

แต่พอเปลี่ยนรัฐบาลมาเป็นพรรคเพื่อไทยอีกคำรบหนึ่ง ฝ่ายการเมืองก็ยังคงตามเล่นงานต่อไป คือ เมื่อปี 2554 รัฐบาลยิ่งลักษณ์(คราวนี้รมว.กต.เปลี่ยนหน้ามาเป็นนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) ก็ออกหนังสือให้ปลดดร.วีรชัยออกจากคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชาอีกรอบฮะ การณ์ครั้งนี้ก็พยายามทำเงียบๆ แต่ก็ปิดได้ไม่มิดเพราะสมัยนี้เป็นยุคข่าวสารอะไรๆก็ไว
โฉมหน้าทีมทนายฝ่ายไทย นำโดยท่านทูตวีรชัย

แต่ดร.วีรชัยก็ยังคงทำหน้าที่เอกอัครราชทูตและหัวหน้าทีมทนายฝ่ายไทยต่อไป โดยประเด็นสำคัญที่ดร.วีรชัยเสนอต่อศาลโลก ซึ่งแทบจะถือว่าเป็นหมัดน็อกกัมพูชาลงไปก็คือ “กัมพูชานำแผนที่ปลอม(ที่เขียนขึ้นเอง)มาเสนอศาล” ซึ่งเท่าที่ทราบจากการสัมภาษณ์ ดร.วีรชัยภายหลังจบการพิจารณาคดีก็คือ ข้อมูลสำคัญที่ฝ่ายไทยนำขึ้นศาลนั้น ได้รับการปิดลับให้รับรู้เฉพาะในทีมทนายเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำแถลงของดร.วีรชัยต่อศาลโลกซึ่งถือเป็นหมัดเด็ดนั้น ก็ปิดลับสุดยอดกระทั่งคนในรัฐบาลก็ไม่ทราบ และเชื่อว่านี่เป็นสาเหตุที่ทำให้รมว.กต.กัมพูชาออกอาการฉุนเฉียวถึงขั้นแถลงข่มขู่ศาลโลก

ความรู้ความสามารถและความสำเร็จของดร.วีรชัยนั้น สมควรที่ได้รับการยกย่อง เพราะหน้าที่ของข้าราชการไทยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ก็คือ เป็นผู้ดูแลประเทศชาติต่างพระเนตรพระกรรณ และทำงานโดยคำนึงถึงประโยชน์ของชาติเป็นปฐม สมแล้วที่ท่านได้รับรางวัล”ครุฑทองคำ”เมื่อปี 2553-2554 อันเป็นรางวัลเชิดชูความรู้ความสามารถและความซื่อสัตย์สุจริตของข้าราชการพลเรือน

ไม่แปลกใจที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะไม่เชิดชูดร.วีรชัย หัวหน้าทีมทนายไทย หากแต่พยายามจะให้สื่อต่างๆไปออกแนวโปรกระแสคุณอลินา มิรอง ทนายความสาวลูกครึ่งฝรั่งเศส-โรมาเนียด้วยความสวยและเก่งไปโน่น แต่ทั้งนี้ผมเชื่อว่า นักการเมืองนั้นผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่ประเทศชาตินั้นจะยังอยู่ต่อไปโดยมีข้าราชการที่มีความสามารถเช่นดร.วีรชัย เป็นเสาหลักค้ำยันสืบไป

ขอบารมีพระสยามเทวาธิราช เทวดาผู้ปกปักรักษาแผ่นดินไทยจงคุ้มครองข้าราชการผู้ซื่อสัตย์และหวงแหนแผ่นดินไทย ให้พวกท่านได้รับความสุขความเจริญชั่วลูกสืบหลานเถิด

นักบินชาว Equatorial Guinea คนแรกของ CHC

25 เมษายน 2556
 
วันนี้ได้บินกับกัปตันชาวอเมริกันท่านหนึ่งครับ บังเอิญ route ที่บินมันยาวมากๆก็เลยมีเวลาคุยกันเยอะ มีเรื่องหนึ่งที่ลุงแกเล่าให้ฟังและผมอยากจะมาเล่าต่อให้กับเพื่อนๆนักบินด้วยกันฟังเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และผมก็คิดว่าหลายๆคนก็น่าจะได้ฟังนะครับ
 
ประเทศอีควาทอเรียล กินี

เชื่อว่าพวกเราหลายๆคนคงทราบกันดีว่าทวีปแอฟริกานั้นเป็นทวีปที่ร่ำรวยไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมายมหาศาล ทั้งป่าไม้ สินแร่ เพชรพลอย (จนฮอลลีวู้ดนำมาทำหนังเรื่อง “Blood Diamond” แสดงโดยลีโอนาโด ดีคาพรีโอน่ะครับ) และ “น้ำมัน”ก็คือทรัพยากรสำคัญชิ้นหนึ่งที่บริษัทน้ำมันของโลกตะวันตกแห่กันเข้าไปทำสัมปทานขุดเจาะกับรัฐบาลของประเทศในทวีปนี้ เพราะฉะนั้นประเทศในแอฟริกาที่มีชายฝั่งติดกับมหาสมุทรแอทแลนติกก็จะมีแท่นขุดเจาะน้ำมันอยู่เพียบไปหมด ซึ่งประเทศที่ผมจะพูดถึงในวันนี้ก็คือ “Equatorial Guinea” ครับ

Equatorial Guinea นั้นเป็นประเทศเล็กๆที่อยู่ติดมหาสมุทรแอทแลนติกครับ แบ่งเป็นส่วนที่เป็นเมนแลนด์อยู่บนฝั่งแล้วก็มีเกาะอีกสองเกาะ ฟังจากชื่อแล้วบางคนอาจคิดว่าอยู่ตรงเส้นศูนย์สูตร แต่จริงๆไม่หรอกครับ ประเทศนี้เรียกได้ว่าอยู่ในซีกโลกเหนือ โดยที่เดิมเป็นอาณานิคมของสเปนครับและเพิ่งได้รับเอกราชเมื่อ 46 ปีที่แล้วครับ Equatorial Guinea นี้ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่เลวร้ายที่สุดในเรื่องสิทธิมนุษยชน ประชาชนไม่ถึงกับยากจนมากแต่สภาพความเป็นอยู่ก็ไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็นทั้งที่ประเทศร่ำรวยมหาศาลจาก”น้ำมัน” ด้วยเพราะความร่ำรวยนี้กระจุกอยู่ในกลุ่มคนกลุ่มเดียว และ UN ก็ระบุว่าประชากรบางส่วนยังไม่มีน้ำสะอาดดื่มครับ
สีฟ้าอ่อนรอบๆเกาะสีเขียวคือ พื้นที่ผลิตน้ำมันของ EG ครับ

บริษัทน้ำมันหลักๆที่เข้าไปขุดเจาะก็คือ Exxon และ Hess ซึ่งก็แน่ละว่าต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ในการบินรับ-ส่งผู้โดยสารระหว่างฝั่งกับแท่นขุดเจาะน้ำมันแบบเดียวกับที่ผมบินให้เชฟรอนในอ่าวไทยเรานี่ละครับ ซึ่งที่ Equatorial Guinea นี้บริษัท Canadian Helicopter Corporation (CHC) ก็เข้าไปเปิดเบสอยู่ที่เมืองหลวงของประเทศคือ “มาลาโบ” สำหรับบริการเฮลิคอปเตอร์เหมือนกัน มีเฮลิคอปเตอร์อยู่ 5 ลำ และนักบินส่วนใหญ่ก็จะเป็นฝรั่งต่างชาติ เป็นอเมริกันซะเยอะเพราะสหรัฐฯมีสนธิสัญญากับ Equatorial Guinea ว่าคนอเมริกันสามารถเข้าออกประเทศนี้ได้โดยไม่ต้องมีวีซ่า ทำงานได้โดยไม่ต้องมี work permit

เมื่อสองปีก่อน CHC ได้สนับสนุนให้คนพื้นเมืองเป็นนักบิน โดยคัดเลือกและส่งไปเรียนเป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์ที่ Bristow Academy ที่ฟลอริด้า ในตอนแรกก็ส่งไปสามคนแต่เหลือรอดเรียนจบมาเพียงคนเดียว คือ คุณ Basilio Mangue ซึ่งเท่าที่ฟังจากกัปตันที่เล่าให้ผมฟังก็ได้รู้ว่ากว่าจะเรียนจบมาได้นั้น Basilio ต้องฝ่าฟันกำแพงอุปสรรคมากมาย ทั้งภาษา, วิธีการเรียน และการฝึก บางครั้งต้องหยุดการเรียนไปเป็นเดือนๆเพื่อปรับสภาพจิตใจให้ฝ่าฟันกับการฝึกต่อไป ผมฟังแล้วก็เข้าใจได้ดีว่าการที่ไปเรียนแล้วเพื่อนๆชาติเดียวกันที่ไปพร้อมกันค่อยๆตกหล่นหายไประหว่างเรียนนั้น มันเศร้าแค่ไหน
แท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัท HESS ใน EG

แต่สุดท้าย Basilio ก็เรียนจบครับ ได้ใบอนุญาตนักบินพาณิชย์ของ FAA (อเมริกา)มาเรียบร้อย และเมื่อสองเดือนก่อนก็เข้ามาเรียนที่ simulator เพื่อเปลี่ยนแบบมาบินเครื่อง Sikorsky S-76 ซึ่งเป็นแบบที่เขาจะต้องมาบินทำงานในอนาคต และสุดท้ายเมื่อปลายเดือนมีนาคม Basilio ก็เรียนจบ ผ่านการ check ride เรียบร้อย เป็นนักบิน S-76 โดยสมบูรณ์ จากที่ฟังมาบุคลิกของเขาก็สุขุมและนิ่งมากขึ้น คือ กลายเป็นคนที่อ่านหนังสือเยอะ และนิ่งฟังข้อมูลจนหมดก่อนแล้วจึงถามคำถาม

และในการประชุมของเบสมาลาโบเมื่อต้นเดือนเมษายนนี้ก็มีการประกาศความสำเร็จนี้ให้ทุกคนในเบสทราบ และพนักงานชาวพื้นเมืองทุกคนก็ลุกขึ้นยืนปรบมือกึกก้อง บางคนถึงกับร้องไห้ด้วยความปลาบปลื้ม ด้วยเพราะ Basilio เป็นนักบินคนแรกของ Equatorial Guinea และของทวีปแอฟริกาที่บริษัท CHC ส่งเรียนและกลับมาเป็นนักบินในประเทศบ้านเกิดของเขา ซึ่งในฐานะเพื่อนร่วมอาชีพ ผมภูมิใจไปกับเขาด้วย เพราะการที่จะเป็นคนแรกในการทำอาชีพอะไรสักอย่างที่ต้องก้าวข้ามอุปสรรคมากมายและรับแรงกดดันจากความคาดหวังของคนรอบข้างนั้น มันต้องอาศัยกำลังใจที่ยิ่งใหญ่มากๆ

ข้อคิดที่ผมได้จากเรื่องนี้ก็คือ เราคือคนเดียวและคนเดียวเท่านั้นที่จะกำหนดชะตาชีวิตของเราเอง ไม่มีสิ่งใดที่เราจะทำไม่ได้จนกว่าเราจะบอกตัวเองให้เลิก โลกนี้กว้างใหญ่นัก....อย่าถูกจำกัดชะตาชีวิตเพียงเพราะมีคนมาบอกเราว่า “เราทำไม่ได้”นะครับ
See More

แผ่นดินไทยที่เสียไป


22 เมษายน 2556
 
ขอติดกระแสปราสาทเขาพระวิหารกันบ้างนะครับ เป็นที่ทราบทั่วกันแล้วว่าตอนนี้ทีมทนายความไทย นำโดยท่านทูตวีรชัย พลาศรัย (เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก) นั้นเพิ่งสร้างความภูมิใจและทำหน้าที่คนไทยได้อย่างน่าชื่นชม ซึ่งตอนนี้ท่านทูตวีรชัยก็กลายเป็นฮีโร่ของเราๆไปแล้ว วันนี้ผมก็เลยจะมาเล่าให้ฟังว่า แผ่นดินบริเวณปราสาทเขาพระวิหารเนี่ยเป็นของไทยมาแต่สมัยไหนกัน สมควรขนาดไหนที่เราจะต้องรักษาหวงแหนไว้....
แผนที่ประวัติศาสตร์ฝีมือคุณทองใบ แตงน้อย

หลายๆคนในยุคเดียวกับผม (สามสิบกว่าปีโน้น) คงจำได้สมัยเราเรียนชั้น ม.1 ว่าหนังสือที่ใช้เรียนภูมิศาสตร์ของกระทรวงศึกษาธิการที่เราใช้ตอนนั้นก็คือ ฉบับของนายทองใบ แตงน้อย ผมยังจำได้ดีว่าเป็นภาพเขียนลายเส้นลงสีสวยงามมากๆ ในเล่มนี้ก็มีปรากฏแผนที่ประเทศไทยที่แสดงอาณาเขตของราชอาณาจักรไทย (หรือสยาม) ที่กว้างขวางมาก....ทิศตะวันออกนั้น แผ่นดินชาติเราครอบคลุมถึงประเทศลาวและเขมรทั้งประเทศเลยนะครับ

ทางเหนือก็ขึ้นสูงไปจนจรดแคว้นสิบสองจุไท(จีน ) ส่วนทางตะวันตกนั้นเล่า...ทั้งเมืองทวาย (ที่กลายเป็นทวายโปรเจคท์ในตอนนี้), เมืองตะนาวศรี ก็ล้วนเป็นของเราทั้งนั้น

โตขึ้นมาผมถึงได้รู้ว่า แผนที่ฉบับนี้แสดงอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของชาติเราที่ได้มาแต่สมัยพระนเรศวรเป็นเจ้าจนกระทั่งเริ่มมีกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อกาลผ่านไปแผ่นดินเหล่านี้ก็ค่อยๆถูกตอดเล็กตอดน้อยไปเรื่อยทีละเล็กละน้อย ไม่ว่าจะด้วยการแข็งเมืองหรือการสู้รบระหว่างชนพื้นเมืองสมัยนั้น แต่ก็ไม่ได้สูญเสียอะไรไปมากนัก จนกระทั่งถึงสมัยยุคการล่าอาณานิคมซึ่งเริ่มมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ครับ ซึ่ง”ฝรั่งเศส” ก็คือชนชาติที่มารุกรานเราด้วยกำลังทางทหารที่ยิ่งใหญ่กว่า ไม่ว่าจะเป็นเรือรบหรือปืนที่ทันสมัย สมัยนั้นกำลังรบหลักแผ่นดินสยามของเรายังเป็นดาบ ทวน หอก อยู่ มีปืนยาว หรือ ปืนใหญ่บ้างก็มิได้มากมาย ด้วยเพราะแผ่นดินกำลังอยู่กันอย่างสงบสุข
วิกฤติการณ์ ร.ศ.112 เมื่อครั้งฝรั่งเศสรุกรานสยาม

เราโดนฝรั่งเศสเอากำลังทหารมายึดครองแผ่นดินเราเอาดื้อๆนี่ละครับ ทางเรือบ้าง บางกรณีก็ทำเนียนมาเป็นมิตรให้ความคุ้มครอง แต่สุดท้ายก็ออกลายนักเลงมายึดแผ่นดินเขาแทน ครั้งที่หนักๆนี่ก็คือ เสียกัมพูชาไปครึ่งประเทศในสมัย ร.4 พอเข้าสู่รัชสมัยของ ร.5 เราก็เสีย “ลาว” ทั้งหมด(สมัยนั้นเรียกอาณาจักรล้านช้าง), กัมพูชาที่เหลือ คือ จ.พระตะบอง, จ.เสียมราฐ และ จ.ศรีโสภณ ซึ่งทั้งสามจังหวัดนี้ เดิมเราเรียกว่า “มณฑลบูรพา” ครับ นับเป็นการเสียดินแดนครั้งที่ 12 ตั้งแต่มีกรุงรัตนโกสินทร์มา

อันปราสาทพระวิหารนี้ก็อยู่ในพื้นที่มณฑลบูรพานี่เองแหละครับ การเสียแผ่นดิน 5 ครั้งในช่วงปี 2410-2451 นี้สร้างความโทมนัสให้กับล้นเกล้ารัชกาลที่ห้าเป็นอย่างมาก ครั้งหนึ่งเจ้านายฝ่ายในต้องช่วยกันขายของหาเงินมารวมกับเงิน”ถุงแดง” (สำรองในท้องพระคลัง) เพื่อไถ่เมืองจันทบุรีจากฝรั่งเศสเชียว

เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2436 ในหลวงรัชกาลที่ห้าถึงกับทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงเหล่าเสนาบดีว่า “ฉันรู้ตัวอยู่ชัดว่า ถ้าความเป็นเอกราชของกรุงสยามสุดสิ้นไปเมื่อใด ชีวิตของฉันก็คงจะสุดสิ้นไปเมื่อนั้น”

มีผู้คิดคำนวณออกมาแล้วว่า พื้นที่แผ่นดิน (567,500 ตร.กม.) ที่เราสูญเสียไปให้ฝรั่งเศสทั้ง 5 ครั้งนั้นกว้างใหญ่กว่าแผ่นดินที่เราเหลือคงอยู่เป็นประเทศไทยในปัจจุบันเสียอีก (513,115 ตร.กม.) พวกเราพึงรู้ไว้เถิดครับว่า แผ่นดินที่เราอาศัยกินอยู่หลับนอนนั้น ล้วนทาด้วยเลือดของบรรพบุรุษที่สละชีพไว้ให้เราอยู่เย็นเป็นสุขมาจนปัจจุบัน อย่าว่าแต่ผืนดิน 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารเลยครับ แผ่นดินเขมรทั้งประเทศที่ตั้งตนเป็นเสี้ยนหนามไทยอยู่นั้น ก็เคยเป็นแผ่นดินของเรามาก่อน

จงภูมิใจในชาติและแผ่นดินเกิดของเราเถิดครับ เราเกิดมามีภาษา, มีวัฒนธรรม, มีประวัติศาสตร์ชาติให้ชื่นใจนี้ ดีกว่าชนชาติที่ต้องตื่นมาโดนเขาบังคับให้ก้มหัวเคารพธงชาติชาติอื่นเขาหลายร้อยหลายพันเท่านัก

คิดถึงวรรคหนึ่งของเพลงคาราบาวที่ว่า “ ไม่มีดินผืนใดให้ไออุ่นเท่ากับดินที่คุณถือกำเนิด ไม่มีดินผืนใดดูมั่นคงเท่ากับดินที่ลงสำมะโนครัว ไม่มีดินผืนใดให้คุณเดินเท่ากับดินที่คุณเดินตอนตั้งไข่....ไม่มีดินผืนใดมีความหมายเท่าแผ่นดินสุดท้ายของเผ่าพันธุ์....”

ขอให้ความดีของท่านผู้เพียรพยายามต่อสู้รักษาแผ่นดินไทยไว้จงเป็นเกราะคุ้มภัยอันตรายอย่าให้ได้แผ้วพาน และขอสาปแช่งผู้ทรยศคิดคดต่อแผ่นดินเกิดขอให้ชีวิตนี้อย่าได้พบกับความสุขใดๆชั่วลูกสืบหลานด้วยเทอญ

คุณมาร์กาเร็ต แททเชอร์

ขอหวนคืนกลับมาเขียนบทความต่อนะครับ หลังจากที่มัวแต่ทำโน่นนี่ ก็เลยร้างลาการเขียนไปนานเลย วันนี้หัวข้อที่จะเขียนถึงก็คือ เรื่องคุณมาร์กาเร็ต แททเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษผู้ล่วงลับนั่นเอง และงานศพของเธอจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ ณ วิหารเซนท์พอล มหานครลอนดอน เมื่อ 17 เมษายน 2556 นี้เองครับ ที่เขียนนี่ก็เพราะมีน้องๆในป่ามะพร้าวเวิลด์ของผม พูดถามกันว่า คุณมาร์กาเร็ตคือใคร? วันนี้ก็เลยจะมาเล่าให้ฟังครับ

คุณมาร์กาเร็ต ฮิลด้า แททเชอร์ หรือที่จะเรียกเต็มยศแห่งบรรดาศักดิ์ที่ได้รับก็คือ "บารอนเนส แททเชอร์ แห่งเคสทีเวน" นั้นเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกและคนเดียวแห่งสหราชอาณาจักรครับ เธอดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2522-2533 กล่าวคือ ชนะการเลือกตั้งสามสมัยรวด (11ปี) ซึ่งเป็นสถิติที่ยาวนานมากๆ และทำให้คุณมาร์กาเร็ตเป็นบุคคลในระดับตำนานคนหนึ่งของการเมืองโลก ด้วยความที่เธอมีบุคลิกภาพที่เด็ดขาด เข็มแข็งและไม่ค่อยจะฟังใคร จนมีผู้สื่อข่าวรัสเซียตั้งฉายาให้เธอว่า "สตรีเหล็ก" (Iron Lady) และบรรดาคอการเมืองอังกฤษก็ขนานนามระบบการบริหารของเธอว่า "ลัทธิแททเชอร์" (Thatcherism)

นโยบายที่โดดเด่นในยุคมาร์กาเร็ตก็คือ สนับสนุนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจแบบสุดขั้ว (ฟังคล้ายๆเมืองไทยเมื่อเกือบสิบปีก่อน) เอากิจการสาธารณูปโภคของรัฐทั้งไฟฟ้า ประปา เหล็ก มาแปลงเป็นบริษัทเอกชน ซึ่งเป้าหมายของเธอก็คือ ต้องการปรับปรุงระบบการทำงานที่ล่าช้าสุดๆของราชการให้เกิดการแข่งขันขึ้น ก็เป็นที่แน่นอนครับว่าต้องมีการต่อต้าน แต่ในท้ายที่สุดผลการแปรรูปก็ส่งผลดี เพราะอังกฤษในสมัยนั้นมีคนตกงานมากมาย การแปรรูปทำให้เกิดบริษัทลูกงอกขึ้นมาก็เลยมีการจ้างงานมากขึ้น

ต้องขอบอกก่อนว่า โลกในยุคคุณมาร์กาเร็ตนั้น เป็นโลกในยุค"สงครามเย็น"ครับ โซเวียตและลัทธิคอมมิวนิสท์ยังกล้าแกร่งอยู่ ด้วยความที่คุณมาร์กาเร็ตนั้นรังเกียจลัทธิคอมมิวนิสท์แบบสุดขั้วเช่นกัน อังกฤษก็เลยจับมือกับอเมริกาทำสงครามเย็นกับโลกคอมมิวนิสท์ มีการติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในยุโรป รวมทั้งไปซื้อขีปนาวุธนิวเคลียร์ไทรเดนท์จากอเมริกาเข้ามาประจำการในกองทัพเรืออังกฤษ มีปฏิบัติการสายลับเกลื่อนยุโรปไปหมด รวมทั้งส่งหน่วยรบพิเศษ SAS ของอังกฤษไปฝึกให้เขมรแดง (เพื่อให้เขมรแดงเป็นกองกำลังไปรบกับเวียดนาม ซึ่งเป็นคอมมิวนิสท์สายโซเวียตอีกทีหนึ่ง)

ในภาพยนตร์สายลับเจมส์บอนด์ 007 ในภาค "For your eyes only" ที่ออกฉายในปี 2525 ก็เลยมีบทนายกอังกฤษของคุณมาร์กาเร็ตเข้ามาในภาพยนตร์ด้วยเพื่อความสมจริงของยุคแห่งสายลับนั่นเอง
 

นอกจากคุณมาร์กาเร็ตจะถูกทดสอบด้วยยุคสงครามเย็นแล้ว เราคงจำกันได้เลาๆถึงเรื่องกบฏ IRA (ซึ่งเป็นกองกำลังที่จะปลดปล่อยไอร์แลนด์เหนือ) ที่มักจะก่อความรุนแรงเป็นประจำบนเกาะอังกฤษ ซึ่งในช่วงปี 2519-24 นั้นมีการจับกุม IRA มาขังคุกมากมาย ซึ่งบรรดานักโทษเหล่านี้ก็ได้รับการดูแลอย่างเลวร้าย จนกระทั่งมีการอดข้าวประท้วงขอให้ปรับปรุงความเป็นอยู่ในคุกและปล่อยตัวนักโทษการเมือง จนกระทั่งนักโทษอดข้าวตายไปเก้าคน รัฐบาลอังกฤษก็จึงผ่อนปรนสิทธิบางอย่างให้นักโทษหลังจากแข็งกร้าวมานาน โดยคุณมาร์กาเร็ตกล่าวว่า "Crime is crime is crime, it's not political" การณ์ครั้งนี้นำไปสู่การลอบสังหารคุณมาร์กาเร็ตในเดือนเมษายน 2525 งานนั้นมีคนตายไปห้าคน ส่วนคุณมาร์กาเร็ตรอดได้อย่างหวุดหวิดทีเดียว

อีกเหตุการณ์หนึ่งที่เป็นจุดทดสอบความเป็นผู้นำของเธอก็คือ "สงครามหมู่เกาะฟอล์คแลนด์" ในปี 2525 ซึ่งหมู่เกาะนี้จริงๆแล้วเมื่อร้อยปีก่อนเป็นของอาเจนติน่า แต่อังกฤษได้มายึดไว้ในสมัยล่าอาณานิคม ซึ่งก็ดูจะไม่มีปัญหาอะไรจนกระทั่งรัฐบาลอาเจนติน่านึกเฮี้ยนไปกินดีหมีมา นำกำลังทหารหมื่นคนกลับเข้าไปยึดฟอล์คแลนด์ไว้ อังกฤษก็เลยส่งขบวนกองทัพเรือ ซึ่งมีเรือดำน้ำติดขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่ซื้อมาจากเมการ่วมขบวนไปด้วย สงครามครั้งนี้กินเวลาไม่ถึงสองเดือนอังกฤษก็ชนะ แต่ทหารทั้งสองฝ่ายก็บาดเจ็บล้มตายมากมาย สูญเสียยุทโธปกรณ์ไปพอๆกัน มีผู้ให้ความเห็นว่าเป็นสงครามที่ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น แต่อังกฤษต้องทำเพื่อโชว์ความพร้อมรบของกองทัพให้โลกคอมมิวนิสท์เห็น อาเจนติน่าก็เลยเจ็บตัวฟรี

ชัยชนะที่หมู่เกาะฟอล์คแลนด์เป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ทำให้คุณมาร์กาเร็ตชนะการเลือกตั้งครั้งที่สองครับ

คุณมาร์กาเร็ตเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษเรื่อยมาจนสงครามเย็นยุติลงในปี 2531 เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย...เยอรมันตะวันตกและตะวันออกกลับมารวมประเทศกัน...การลดจำนวนอาวุธนิวเคลียร์... จนกระทั่งถึงสมัยที่ซัดดัม ฮุสเซ็นส่งกำลังทหารเข้าไปยึดคูเวต คุณมาร์กาเร็ตนี้เองก็ประกาศตัวว่ารัฐบาลอังกฤษจะสนับสนุนกองทัพสหรัฐในสงครามอ่าวเปอร์เซียอีกด้วย นับว่าเป็นหญิงเหล็กสมชื่อ

เธอเป็นบุคคลร่วมยุคสมัยกับโรนัลด์ เรแกน(สหรัฐฯ), มิคาอิล กอร์บาชอฟ(โซเวียต), เติ้ง เสี่ยวผิง (จีน), พอล พต (กัมพูชา), ซัดดัม ฮุสเซีน (อิรัก) และกัดดาฟี่ (ลิเบีย) ครับผม ซึ่งบรรดาบุคคลเหล่านี้ก็ล้วนแต่ลาโลกไปแล้วทั้งสิ้นด้วยกรรมต่างๆกันไป ทิ้งชื่อไว้เพียงในประวัติศาสตร์ให้เราจดจำครับ
See More