Monday, October 29, 2012

เฮลิคอปเตอร์ ใน James Bond ภาค Skyfall

...พอดีผมนั่งดู trailer ของเจมส์บอนด์ ภาคใหม่ Skyfall แล้วเห็นซีนนึงมีเฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่ติดสัญลักษณ์แปลกๆ กำลังยิงถล่มปราสาทอยู่ ก็เลยสนใจว่าเค้าใช้เครื่องรุ่นไหนมาเข้าฉาก  ไปค้นคว้ามาได้ความดังนี้ฮะ


โปสเตอร์หนัง James Bond "Skyfall"
ซีนนี้เป็นซีนที่ฝ่ายร้ายคือ Quantum ยกพวกมาถล่มเจมส์ บอนด์ และ M (หัวหน้าของหน่วย MI-6 แสดงโดยจูดี้ เดนช์) ที่ Manor House ชื่อว่า "Skyfall Lodge" และข้างๆกันนั้นก็เป็นโบสถ์ประจำครอบครัวบอนด์ด้วย ซึ่ง Skyfall Lodge นี้ทีมงานได้ก๊อปปี้จากบ้านหรูไฮโซในสก๊อตแลนด์ แล้วเอามาสร้างเลียนแบบขึ้นใหม่ในสนามกอล์ฟ Hankley Common ในอังกฤษนี่เอง เพื่อให้ยิงถล่มแล้วก็ระเบิดได้เต็มที่ ข่าวว่าทีมงานลงทุนไปกว่า 100,000 ปอนด์สำหรับฉากนี้เลยเชียว

เฮลิคอปเตอร์รุ่นนี้คือ AW-101 ครับ ผลิตโดยบริษัท AgustaWestland เจ้า AW-101 นี้มีที่มาย้อนไปอดีตตั้งแต่ปี 1977 ในยุคที่โลกตะวันตกยังเป็นศัตรูกับโซเวียต  แล้วทีนี้กองทัพเรืออังกฤษเห็นว่าเฮลิคอปเตอร์รุ่น Sea King  ที่ใช้อยู่นั้นไม่สามารถต่อกรกับเทคโนโลยีเรือดำน้ำโซเวียตได้ ก็เลยไปว่าจ้างให้บริษัท Westland ของอังกฤษให้ผลิตเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิมให้


เฮลิคอปเตอร์ AW-101 "เมอร์ลิน" ขณะถ่ายทำฉากยิงถล่ม Skyfall Lodge
บริษัท Westland (อังกฤษ) ก็เลยไปร่วมกับบริษัท Agusta (อิตาลี) ที่ก็โดนว่าจ้างโดยกองทัพเรืออิตาลีในโปรเจคท์คล้ายๆกัน  สองบริษัทนี้ก็มารวมกันเป็น AgustaWestland ผลิตเครื่องรุ่น AW-101 นี่ออกมาเพื่อภารกิจต่อต้านเรือดำน้ำและกู้ภัยโดยเฉพาะ  และด้วยสาเหตุที่ต้องบินทำงานเหนือทะเลจึงต้องให้ปลอดภัยสูงสุด บริษัทผู้ผลิตก็เลยดีไซน์ให้มี 3 เครื่องยนต์ เผื่อเสียไป 1 เครื่องก็ยังเหลืออีก 2 เครื่องยนต์บินได้สบายๆตามปกติ 

ตอนนี้ AW-101 ก็ประจำการอยู่ในกองทัพทั่วโลกด้วยเหตุที่มี power มหาศาล และใช้งานได้หลากหลาย ในกองทัพอังกฤษจะเรียกเครื่องรุ่นนี้ว่า "Merlin" ครับ (ชื่อพ่อมดในตำนานกษัตริย์อาเธอร์และอัศวินโต๊ะกลมนั่นเอง) 

การตั้งชื่อให้เฮลิคอปเตอร์ก็มีมานานแล้วละครับ ทั้ง "แบล็คฮอว์ค" (S-70), "อาปาเช่" (Boeing AH-64), "คอบร้า" (AH-1) เพื่อให้ง่ายต่อการเรียกและมันดูหล่อขึ้นเป็นกอง


ควีนอังกฤษทรงเข้าฉากในวีดีโอเปิดโอลิมปิก ลอนดอน 2012
โดยมี เจมส์ บอนด์ เป็นบอดี้การ์ดส่วนพระองค์
สำหรับในทีมงานเจมส์บอนด์นั้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ใช้เฮลิคอปเตอร์ของ AgustaWestland มาร่วมงานครับ  ถ้าใครจำฉากเปิดตัวพระราชินีอังกฤษในพิธีเปิดโอลิมปิก 2012 ที่ลอนดอนได้นั้น  เขาใช้เฮลิคอปเตอร์ AW-139 เพ้นท์รูปธงยูเนี่ยนแจ๊ค บินลอด London Bridge พาสตั๊นท์ของพระราชินี ซึ่งมีเจมส์ บอนด์ (แดเนียล เครก) เป็นบอดี้การ์ด บินมาลงที่สนามกีฬาเป็นไฮไลท์ของงาน เป็นที่ฮือฮาไปทั่ว

สำหรับ AW-139 นั้น ตอนนี้นิยมใช้ในอุตสาหกรรมน้ำมันครับ เอาไว้บินรับ-ส่งผู้โดยสารที่ทำงานอยู่ที่แทนขุดเจาะน้ำมัน  ในเมืองไทยนั้นตอนนี้มีบริษัทเดียวที่ใช้ก็คือ บริษัท สีชัง ฟลายอิ้ง เซอร์วิส ครับ (SFS) บินให้กับแท่นขุดเจาะของปตท. ข่าวว่าติดแอร์เย็นเจี๊ยบเลยทีเดียว....
ภาพตอนซ้อมพิธีเปิดโอลิมปิก  ใช้เฮลิคอปเตอร์ AW-139
บินลอด London Bridge

Sunday, October 28, 2012

Adele....เจมส์ บอนด์ ภาค "Skyfall"....

28 ตุลาคม 2012

...."Skyfall"....อ่ะ  เปลี่ยนแนวไปพูดถึงหนังเจมส์บอนด์ ภาคใหม่ล่าสุด "Skyfall" กันนิดนึงนะครับ  แต่วันนี้จะเล่าถึง Adele นักร้องสาวชาวอังกฤษวัย 24 ที่เป็นผู้ขับร้องเพลงประกอบที่ใช้ชื่อเดียวกันของเจมส์ บอนด์ภาคนี้  เพราะตะกี้เข้าไปฟังบน Youtube มาแล้วชอบมากกกก


สาวน้อย Adele
เป็นที่รู้กันว่าเจมส์ บอนด์ 007 เป็นหนังสายลับอังกฤษ  อะไรต่างๆที่เกี่ยวข้องก็จะเป็นอังกฤษไปหมด ทั้งชื่อหน่วย MI-6 ก็เป็นชื่อหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษจริงๆ (ของจริงมีทั้ง MI-5 และ MI-6), Daniel Craig ผู้แสดงเป็นเจมส์ บอนด์ ก็เป็นชาวอังกฤษ, รถยนต์ที่เจมส์ บอนด์ขับ Aston Martin ก็เป็นแบรนด์อังกฤษ  เพราะฉะนั้นเมื่อเลือกนักร้องเพลงประกอบว่าจะต้องเป็น สาวน้อย Adele ที่เป็นชาวอังกฤษแท้ๆ เกิดที่เมือง Tottenham ทางตอนเหนือของลอนดอน ก็เป็นตัวเลือกที่ลงตัว สมเป็นหนังที่ชาวอังกฤษภูมิใจ....

Adele เธอมีชื่อเต็มๆว่า Adele Laurie Blue Adkins ครับ เพิ่งอายุได้ 24 เท่านั้นเอง  แจ้งเกิดในวงการตั้งแต่อายุ 16 เมื่อเพื่อนๆเอาคลิปเดโมของเธอไปโพสท์ไว้บน Myspace แล้วก็โด่งดังเป็นพลุแตก ตามมาด้วยอัลบั้มแรกชื่อ "19" (ตามอายุในขณะนั้น) คว้ารางวัลมากมายทั่วเกาะอังกฤษแล้วก็มาดังต่อที่สหรัฐฯเมื่อเธอคว้ารางวัลแกรมมี่ อวอร์ดในปี 2009 ในฐานะนักร้องหน้าใหม่และนักร้องเพลงป๊อปหญิงยอดเยี่ยม

อัลบั้มชุดที่สองชื่อ "21" (ก็ตั้งตามอายุตอนนั้นอีกน่ะแหละ)  อันนี้นี่ดังกว่าชุดแรก เพราะถึงขั้นลงกินเนสบุ๊คว่า เป็นอัลบั้มแรกบนเกาะอังกฤษที่ขายได้มากกว่า 3 ล้านชุดในหนึ่งปี  เพลงที่เพราะๆที่เป็นที่รู้จักก็คือ Someone Like you และ Rolling in the deep ครับ


เสียงของ Adele นั้นบอกได้ว่า มีเสน่ห์แบบแหบใสๆน่ะครับ  ฟังดูมีพลังกังวาลมากๆ  พอได้มาร้องเพลงธีม Skyfall ก็เลยดูยิ่งใหญ่สมราคาหนังเจมส์ บอนด์ที่รอคอย  เพลง Skyfall นี้พอเปิดตัวออกมาได้เพียง 10 ชั่วโมง (5 ตุลาคม) ก็ทำยอดดาวน์โหลดสูงสุดใน iTune ของอังกฤษ แซงหน้าเพลง Diamonds ของ Rihanna ไปเลย  อีกสองวันต่อมาก็ทำยอดขายซิงเกิ้ล Skyfall ไปได้ 84,000 แผ่นในอังกฤษ และ 264,000 แผ่นในเมกา ทำรายได้ให้หนังเจมส์ บอนด์ไปท่วมท้นตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงด้วยซ้ำไป

หนังเจมส์ บอนด์ภาค Skyfall นี้จะเข้าโรงในเมืองไทยวันที่ 1 พฤศจิกายน 2012 นี้ครับ.....หลับตาฟังเพลงธีม Skyfall ให้ดีนะครับ....ทั้งเศร้าและมีพลังในเพลงเดียวกัน....

....Let the Skyfall, when it crumbles. We will stand tall. Face it all together....

ใครสนใจก็เข้าลิงก์นี้ได้เลยครับ....  http://www.youtube.com/watch?v=7HKoqNJtMTQ

Wednesday, October 24, 2012

กระทิงแดง (Red Bull)

24 ตุลาคม 2012

..."Red Bull" หรือ "กระทิงแดง"...อยากจะเขียนเรื่องนี้เพราะมีน้องๆขอมาแล้วก็พอดีได้ข่าวว่าเร็วๆนี้ Red Bull จะส่งเครื่องดื่มบุกตลาดไทย  ทั้งๆที่ Red Bull นี้ก็มีจุดกำเนิดมาจากไทยนี่เอง ก็เลยอยากเขียนเรื่อง Red Bull เล่าสู่กันฟังสักหน่อยนะครับ

ในเมืองไทยนั้น แบรนด์ "กระทิงแดง" ก็คือเครื่องดื่มบำรุงกำลังแนวๆเดียวกับลิโพ, คาราบาวแดง (มีวิตามิน บี12 ด้วยนะ), M-100, M-150 อะไรทำนองนั้น ซึ่งลุคจะออกมาแนวๆเครื่องดื่มสำหรับผู้ใช้แรงงาน  แต่ Red Bull ในต่างประเทศนั้นจะมีชื่อเสียงในนามของเครื่องดื่มสำหรับนักกีฬา แล้วก็สปอนเซอร์ของกีฬาแบบ extreme ครับ

คุณเฉลียว อยู่วิทยา ซึ่งผู้ให้กำเนิดเครื่องดื่มกระทิงแดงนั้น ได้พัฒนาสูตรเครื่องดื่มชนิดนี้มาจากโทนิค เมื่อปี 2519 จนกลายเป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลัง และตั้งชื่อยี่ห้อว่า "กระทิงแดง" ผลิตออกขายในร้านขายยาของตนเอง  อยู่มาวันหนึ่งในช่วงปี 2527 มีเซลล์ขายยาสีฟันชาวออสเตรีย ชื่อ "Dietrich Mateschitz" เดินมาซื้อกระทิงแดงดื่มเพื่อลดอาการเจ็ทแลค  ดื่มเข้าไปแล้วก็ชอบก็เลยคุยกับคุณเฉลียวว่าจะนำกระทิงแดงไปทำตลาดที่ออสเตรีย

คุณเฉลียว อยู่วิทยา เจ้าของกระทิงแดง

ดีลที่ตกลงกันก็คือ คุณเฉลียวถือหุ้น 48%, Mateschitz 48% ส่วนที่เหลืออีก 2% ให้คุณเฉลิม อยู่วิทยา (ลูกชายคุณเฉลียว) ถือ 

Mateschitz นำกระทิงแดงกลับไปออสเตรีย จัดการปรับปรุงสูตรให้เพิ่มคาร์บอเนต (เพิ่มความซ่า) แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า Red Bull ปรากฎว่าขายดิบขายดีไปทั่วยุโรป นำกำไรกลับมาให้คุณเฉลียวมากมายมหาศาล

ด้วยความที่ Mateschitz ชื่นชอบการบินเครื่องบินผาดโผน จนเป็นนักบินสมัครเล่นถือ private license บินเครื่องเจ็ท Falcon 900 แล้วก็เครื่อง Piper Super Cub  และเชื่อว่านี่เองคือ สิ่งที่นำไปสู่การที่ Red Bull เป็นสปอนเซอร์ให้กับกีฬาผาดโผนทั้งปวง เช่น  คายัค, สกี, โดดร่ม, สโนว์บอร์ด, วินด์เซิร์ฟ, ปีนหน้าผา, จักรยานวิบาก, แข่งมอเตอร์ไซค์ และที่โด่งดังมากๆก็คือ รถแข่ง Formula One แล้วก็แข่งเครื่องบินผาดโผน รายการ "Red Bull Air Racing"

 โลโก้ Red Bull นี้โด่งดังในกีฬาประเภทนี้มากจนแทบจะครองตลาดกีฬาผาดโผนไปเลยครับ  แถมตอนนี้ Red Bull ก็เป็นเจ้าของทีมรถแข่งฟอร์มูล่าวัน 2 ทีม คือ ทีม Red Bull Racing (อยู่ในอังกฤษ) กับ ทีม Team Red Bull (แข่งในรายการ Nascar ของเมกา)


ทีมรถแข่งฟอร์มูล่าวันของ Red Bull
อันที่ผมชอบก็คือ ที่ Red Bull เขาเอาเฮลิคอปเตอร์ BO-105 มาบินผาดโผนตีลังกาหงายท้องให้ดูนี่ละครับ  เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นเฮลิคอปเตอร์หงายท้องวันนี้

ผลกำไรที่ได้รับจากแบรนด์ Red Bull นั้นทำให้คุณเฉลียว กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองไทยติดๆกันหลายปี รายงานล่าสุดเมื่อปี 2011 ก็คือคุณเฉลียวมีทรัพย์สินประมาณ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ  เมื่อมองไปที่ทรัพย์สินของ Mateschitz ก็จะมีอยู่พอๆกันครับ

ความสำเร็จของแบรนด์ Red Bull และความร่ำรวยของบุคคลทั้งสองนี้  เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ชั้นเลิศของ Mateschitz และความซื่อสัตย์ต่อกันในฐานะพาร์ทเนอร์ธุรกิจ  ซึ่งผมเชื่อว่าหายากมากๆที่คนต่างชาติต่างภาษาที่ทำธุรกิจร่วมกันและซื่อสัตย์ต่อกันแม้ว่าจะมีกำไรมหาศาลเพียงใด  (อีกหนึ่งเคสที่น่าเป็นตัวอย่างก็คือ เคสของ บริษัทก่อสร้างนาม "อิตัล-ไทย" นี่ละครับ  วันหลังจะเขียนเล่าละกัน)

ใช่ว่าคุณเฉลียวจะเป็นเสือนอนกินอย่างเดียวนะครับ  ธุรกิจอื่นๆในเมืองไทยก็มีเช่น TC ฟาร์มาซูติคอล หรือ ในยุคสมัยหนึ่งที่คุณเฉลียวเป็นกรรมการธนาคารกสิกรไทยอยู่ยาวนานทีเดียว เพียงแต่ว่า คุณเฉลียวนั้นเป็นคนที่มีบุคลิกรักความสันโดษ โลว์โปรไฟล์ ไม่ค่อยออกสื่อ หรือ อาจเรียกได้ว่า "รวยแบบเงียบๆ" นั่นเอง
เฮลิคอปเตอร์ Red Bull โชว์ตีลังกาผาดโผน นักบินชื่อ Chuck Aaron ครับ

คุณเฉลียว อยู่วิทยา เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2555 นี้เอง  ทิ้งอาณาจักรเรดบูลแสนล้านเอาไว้ให้กับคุณเฉลิม อยู่วิทยา บริหารต่อไป  ล่าสุดได้ข่าวว่า Red Bull จะนำเครื่องดื่ม Red Bull เข้ามาตีตลาดในเมืองไทย (ฟังแล้วแหม่งๆ) โดยร่วมกับพาร์ทเนอร์คือ สยาม ไวเนอรี่ (ผู้จัดจำหน่าย สปาย ไวน์คูลเลอร์) เป็นผู้กระจายสินค้าครับ

หมู่เกาะเคย์แมน

24 ตุลาคม 2012 
..."หมู่เกาะเคย์แมน" (Cayman Island) คือ พอดีนั่งมองรูปรถพอร์ช เคย์แมน แล้วนึกขึ้นได้ว่าชื่อมันเหมือนกับหมู่เกาะเคย์แมนที่โด่งดังเรื่องฟอกเงินนี่นา ก็เลยหาข้อมูลมาเขียนเล่าสู่กันฟังครับ

หมู่เกาะเคย์แมนนี้ประกอบด้วย 3 เกาะเล็กๆ ตั้งอยู่ใน
ทะเลแคริบเบียนครับ เป็นอาณานิคมอังกฤษ มีชื่อเสียงในเรื่องการฟอกเงินเพราะว่า เป็นดินแดนที่ปลอดภาษี และพลอยทำให้เป็นศูนย์กลางการเงินโลกไปด้วย
หมู่เกาะเคย์แมน ในทะเลแคริบเบียน

คำว่า "ปลอดภาษี" ของเคย์แมน หมายความว่า ใครก็ตามที่มาตั้งบริษัทหรือเปิดบัญชีธนาคารแล้วทำธุรกรรมกับต่างประเทศ จะไม่เสียภาษีให้กับรัฐบาลเคย์แมนเวลาที่มีเงินเข้า เงินออก หรือ ได้ดอกเบี้ยจากกองทุน หรือ ได้กำไรจากการทำธุรกิจ ก็เลยทำให้เคย์แมนกลายเป็นสวรรค์ของนักลงทุน หรือ กระทั่งอาชญากรที่ต้องการฟอกเงินครับ

แถมข้อมูลต่างๆของบริษัทหรือบัญชีธนาคารที่มาเปิดไว้ที่เคย์แมนนี้ ก็จะได้รับการปกปิดแบบ "ลับที่สุด" แถมรัฐบาลออกกฎหมายด้วยว่า การเปิดเผยข้อมูลภาษีหรือการเงิน ถือเป็นความผิดอาญาอีกตะหาก

เช่น สมมติว่า ผมซึ่งเป็นคนไทย ต้องการไปลงทุนขายบะหมี่ในพม่า หากผมไปเปิดบริษัทลูกในพม่า แล้วขายได้เงินเท่าไรก็โอนกลับมาที่บริษัทผมในเมืองไทย ผมก็ต้องเสียภาษีเงินได้ในเมืองไทยตามกฎหมาย ....แต่หากผมใช้บริการของเคย์แมน ผมก็ไปตั้งบริษัทตัวแทนในเคย์แมน (ชื่อหมาแมวอะไรก็ได้) เพื่อรอรับเงินจากบริษัทบะหมี่ในพม่าของผม เงินที่ได้รับมาก็ไม่ต้องเสียภาษี เพราะเคย์แมนไม่คิดภาษี
หนึ่งในธนาคารบนเกาะเคย์แมน

นอกจากเคย์แมนแล้ว ยังมีประเทศอื่นๆที่ให้บริการเช่นนี้อีกครับ เช่น บาฮามาส หรือ หมู่เกาะเบอร์มิวด้า เป็นต้น

ส่วนประเทศอื่นๆที่ให้สิทธิพิเศษคล้ายๆแบบนี้ ก็คือ ฮ่องกง, ปานามา หรือ ไลบีเรีย ประเทศพวกนี้จะคิดภาษีต่ำกว่าปกติมาก

แถมรัฐบาลเคย์แมนยังบอกอีกว่า หากคุณต้องการเปิดบริษัทหรือบัญชีที่เคย์แมน คุณเปิดแค่ในกระดาษก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีออฟฟิศจริงๆ ก็เลยทำให้ตอนนี้มีบริษัทตั้งอยู่กว่า 20,000 บริษัท, ธนาคาร 540 แห่ง (เป็นออฟฟิศจริงๆแค่ 76 แห่ง), กองทุนรวมอีก 300 กองทุน, บริษัทประกันอีก 360 แห่ง และบัญชีธนาคารอีกมากมายมหาศาล ทั้งๆที่ ขนาดของหมู่เกาะเคย์แมนนั้นมีขนาดพอๆกับเกาะสมุยบ้านเราเท่านั้นเอง
 
Porsche Cayman


ส่วนที่มีข่าวว่าสาเหตุที่ พอร์ช (Porsche) ตั้งชื่อรถสปอร์ตรุ่นสวยสุดยอดว่า Porsche Cayman เพราะ คนซื้อรถพอร์ชส่วนใหญ่ได้เงินมาจากเคย์แมนนั้นก็เป็นแค่ข่าวลือครับ เพราะคำว่า Cayman ของพอร์ชมาจากคำว่า Caiman เป็นชื่อของสัตว์เลื้อยคลานพันธุ์เดียวกับตัวตะโขงครับ (ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตั้งรุ่นรถสปอร์ตตามตัวตะโขงเหมือนกันนะน่ะ) ....เอาเข้าจริงๆ ผมก็แอบเชื่อข่าวลือนะ ฮ่าๆๆๆ

อ้อ....นอกจากเคย์แมนเขาจะโด่งดังเรื่องเงินๆทองๆแล้ว การท่องเที่ยวเขาก็ดังนะครับ เพราะมีชายหาดสวยงาม ทะเลใสสะอาด ตามสไตล์หมู่เกาะทะเลใต้น่ะครับ ใครสนใจจะไปเที่ยวก็ลองดู
www.cayman.com.ky ได้ครับ เป็นเว็บไซท์เป็นทางการของรัฐบาลเคย์แมนเลยละ บอกรายละเอียดหมดทุกอย่าง

เฮลิคอปเตอร์กับแท่นขุดเจาะน้ำมัน

18 ตุลาคม 2012

เห็นว่าเพื่อนๆสนใจเกี่ยวกับงานที่ผมทำ วันนี้ก็เลยอยากเล่าถึงแท่นน้ำมันที่ผมบินรับส่งผู้โดยสารอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันน่ะครับ

ต้องขอเล่าแบ็คกราวน์สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักแท่นขุดเจาะน้ำมันมาก่อนนะครับ คือ ในอ่าวไทยของเรานี้มีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอยู่ลึกลงไปใต้ก้นทะเลอยู่มหาศาล บริษัทน้ำมันที่สนใจก็จะจ่ายสัมปทานกับรัฐบาลไทยเพื่อมาสำรวจ - ขุด - ดูดน้ำมันและก๊า
ซขึ้นมาขาย ได้เงินมาเท่าไรก็แบ่งให้รัฐบาลตามที่ตกลงกันไว้


บริษัทน้ำมันเขาก็เอาแท่นขุดเจาะน้ำมันเข้ามาวางยังจุดที่เขาสำรวจเจอน้ำมัน ตรงไหนมีเยอะและดูทีท่าแล้วว่าจะต้องดูดกันอีกนานแสนนาน ก็จะเอาแท่นแบบถาวรมาตอกขาลงไปกับพื้นโลกเลย ส่วนอันไหนที่มีไม่เยอะหรือต้องสำรวจไปๆมาๆ ก็เอาแท่นแบบลอยน้ำได้มาใช้ แล้วใช้เรือลากไปตามตำแหน่งที่ต้องการ

วันที่ผมบินออกมาทำงานวันแรก ต้องยอมรับว่าแท่นขุดเจาะนั้นคือสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่อย่างหนึ่ง คือ ใครจะไปคิดว่าในท้องทะเลลึกคลื่นลมแรง มนุษย์ตัวเล็กๆจะออกไปดูดสิ่งที่อยู่ใต้พื้นมหาสมุทรขึ้นมาใช้งานได้ แถมแท่นน้ำมันนี้นอกจากจะดูดน้ำมันแล้ว ยังมีโรงแรมให้พนักงานพักติดแอร์เย็นฉ่ำ มีห้องอาหาร มีทุกอย่างครบครัน สนามบาสเก็ตบอล โรงหนังเล็กๆ ห้องออกกำลังกาย ฯลฯ ไม่แพ้บนฝั่งเลย

และด้วยเหตุว่าแท่นน้ำมันนั้นราคาแพง พื้นที่ทุกส่วนล้วนจำกัดและมีมูลค่าทั้งนั้น ทีนี้อากาศยานที่ใช้พื้นที่ลงจอดน้อยที่สุดก็คือ "เฮลิคอปเตอร์" (เครื่องบินใช้รันเวย์ยาวเป็นกิโล ครั้นจะประหยัดนั่งเรือก็นั่งกันเป็นวัน) ดังนั้นเฮลิคอปเตอร์ก็เลยเป็นยานพาหนะยอดนิยมของชาวแท่นน้ำมันครับ แล้วก็พลอยทำให้ผมมีงานทำจนวันนี้ 555

ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ (Helideck) ในภาพประกอบนี้ พื้นเป็นสีเทา บางที่ก็เป็นสีเขียว มีตัว H สีเหลืองอยู่ตรงกลางครับ บริษัทออกแบบจะดีไซน์ให้ตัวลานจอดเนี่ยไกลจากสิ่งกีดขวางของแท่นให้มากที่สุด เพื่อให้เฮลิคอปเตอร์ลงจอดง่ายและปลอดภัย บางแท่นเขาก็เอาลานจอดไว้บนหลังคา บางแท่นก็ให้ยื่นพ้นจากตัวแท่นออกมาเลยให้รู้แล้วรู้รอดไป

ธรรมชาติของเฮลิคอปเตอร์นั้นจะลงจอดได้ง่ายเมื่อบินเข้าหาลมครับ เพราะลมจะช่วยพยุงเฮลิคอปเตอร์ไว้ด้วย ทำให้เครื่องยนต์ทำงานไม่หนักมาก นักบินก็แฮปปี้ เพราะฉะนั้นทิศทางการวางลานจอดก็สำคัญ ในอ่าวไทยนั้นมักจะวางลานจอดให้ยื่นชี้มาทางทิศใต้ เพราะลมอ่าวไทยส่วนใหญ่จะพัดแนวตะวันออก-ตะวันตก แต่ถ้าเป็นทะเลเหนือก็จะให้ลานจอดอยู่ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เพราะลมพัดอีกแนวนึง....

โครงสร้างของลานจอดก็จะออกแบบให้รับน้ำหนักได้ 2.5 เท่าของเฮลิคอปเตอร์ครับ เผื่อกรณีฉุกเฉินที่ต้องลงกระแทกแรงๆ เช่น เครื่องยนต์ดับ หรือ ลมกรรโชกแรง เป็นต้น

ในอ่าวไทยเราซึ่งเชฟรอนได้สัมปทานอยู่นั้นมีแท่นน้ำมันหลายแบบครับ มีทั้งแบบถาวร หรือ Living Quarter คืออยู่กันเป็นโรงแรมเลย เช่น แท่นปลาทอง (ออกแบบโดยบริษัท Seaquest ของสิงคโปร์) หรือ แท่นเอราวัณ (ออกแบบโดยบริษัท Specialist Services ของดูไบ) แล้วก็มีทั้งเรือขุดเจาะและแท่นลอยน้ำ ที่เช่ามาจากบริษัท Transocean ของสวิส และบริษัท Seadrill ของอเมริกา
บริษัท Transocean

พูดเรื่องบริษัท Transocean สักนิดละกัน บริษัทนี้เค้าเป็นยักษ์ใหญ่ที่ทำธุรกิจให้เช่าแท่นลอยน้ำทั่วโลกครับ สนนราคาค่าเช่าก็คือ 260,000$ หรือ 9 ล้านบาทต่อวัน....เน้นว่า "ต่อวัน" นะครับ แต่ถ้าเป็นทะเลลึกมากๆ ค่าเช่าก็จะเป็นสองเท่าครับ ราคานี้คืออัตราเหมาทั้งพนักงานและแท่นของปี 2011 ครับ ใครอยากรวยก็ทำแท่นขุดน้ำมันออกขายก็ได้ครับ รวยกันไม่รู้เรื่อง....

ปล. เจ้าแท่นลอยน้ำเนี่ย วันไหนคลื่นลมแรงมากๆ แท่นก็จะเด้งหน้าเด้งหลัง นักบินจะเวียนหัวกันแทบอ้วกทีเดียว เพราะลงจอดยากและอันตรายมากครับ ต้องระวังกันสุดๆ

วลาดีเมียร์ ปูติน (2)

16 ตุลาคม 2012

..."วลาดีเมียร์ ปูติน ภาค2"... พอดีเมื่อวานเขียนเรื่องปูตินแล้วรู้สึกว่ายังเขียนจบไม่เรียบร้อยเท่าไร วันนี้ก็เลยอยากจะเขียนขยายเพิ่มอีกสักหน่อยนะครับ อยากเล่าให้ฟังถึงความเปลี่ยนแปลงที่ดีที่เกิดขึ้นกับสหายรัสเซียภายใต้เงื้อมมือปูติน แล้วก็เรื่องที่ปูตินใช้บริษัทน้ำมัน Gazprom มาเป็นประโยชน์ทางการเมืองด้วย

เราคงจำกันได้ว่าช่วงปี 90s นั้นคือสมัยที่สหภาพโซเวียตแตกออกเป็นประเทศเล็กประเทศน้อย เช่น รัสเซีย, ยูเครน, จอร์เจีย, เบลารุส, คาซัคสถาน (แล้วก็บรรดาประเทศที่ลงท้ายว่า 'สถานๆ' ทั้งหลาย) แต่อย่างไรก็ดี รัสเซียของปูตินก็ยังคงใหญ่ที่สุด ครองทรัพยากรสูงสุดและมีกำลังทหารเข้มแข็งที่สุดเหมือนเดิม

สื่อมวลชนต่างประเทศต่างขนานนามเขาว่า "ซาร์แห่งรัสเซีย" และ "จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิรัสเซียใหม่" ด้วยเหตุที่ปูตินใช้ทั้งไม้แข็ง, วิถีสายลับและกลยุทธ"น้ำมัน" เข้าควบคุมบรรดาประเทศอดีตโซเวียตได้อยู่หมัด ไม่ให้ชาติตะวันตกก็คือ สหรัฐอเมริกา เข้ามามีอิทธิพลได้ดังใจหวัง....มีตัวอย่างดังนี้ฮะ

เมื่อปี 2008 กลุ่มนาโต้ (นำโดยเมกา) พยายามรุกเข้ามาชวนประเทศจอร์เจียเข้านาโต้ แล้วก็สนับสนุนให้ ปธน.ของจอร์เจียกวาดล้างชนกลุ่มน้อยซึ่งเป็นคนรัสเซียเสียให้เกลี้ยง ปธน.จอร์เจียก็คึกจัดเพราะเห็นว่าเมกาให้ท้ายก็เลยยกพลไปบุกชนกลุ่มน้อยเชื้อสายรัสเซีย

...ปูตินซึ่งหมั่นไส้จอร์เจียมานานก็เลยสั่งกองทัพรัสเซียยกทหาร 90,000 นาย รถถัง 800 คัน เครื่องบิน 360 ลำเข้าถล่มจอร์เจียจนราบเป็นหน้ากลอง พอเมกาเห็นรัสเซียเอาจริงก็นิ่งเงียบไม่มาช่วยจอร์เจีย.... ปูตินเห็นว่า "ข้อความ"ที่เขาต้องการสื่อนั้นสัมฤทธิ์ผลแล้วก็ยกพลกลับ พร้อมบอกว่า "นี่คือสงครามสั่งสอนผู้รุกราน"
เส้นทางเดินท่อก๊าซของ Gazprom ทั่วยุโรป

นอกจากกำลังทหารแล้ว ปูตินก็ใช้บริษัทน้ำมัน Gazprom เข้าควบคุมพลังงานของยุโรปและชาติอดีตโซเวียตทั้งหลาย เพราะ Gazprom (รัฐบาลรัสเซียถือหุ้น 50%) ครอบครองแหล่งก๊าซที่ใหญ่ที่สุดในโลกและต่อท่อก๊าซกระจายจำหน่ายไปทั่วยุโรป จนเรียกได้ว่าขณะนี้รัสเซียควบคุมเส้นเลือดหลักของยุโรปเรียบร้อยแล้ว เคยมีนักธุรกิจรัสเซียนามว่า Abramovich พยายามตั้งบริษัทแข่งกับ Gazprom โดยต่อท่อก๊าซอีกเส้นทางหนึ่ง แต่พี่แกก็โดนลักพาตัวไปเรียบร้อยโรงเรียนรัสเซียนะฮะ...(อันนี้ออกแนวสยองนิดๆ)

ครั้งหนึ่งยูเครนเคยแข็งข้อต่อรัสเซียโดยเลือกปธน.ที่แอนตี้รัสเซีย ปูตินก็เลยสั่งปิดท่อก๊าซและน้ำมันทั้งหมดที่ส่งเข้ายูเครน ทำเอาชาวยูเครนต้องจุดเทียนกันทั้งประเทศอยู่พักใหญ่ๆ.....แถมอีตาปธน.Yushchenko ก็โดนวางยาพิษเสียจนเสียโฉม จนภายหลังต้องลาออกแล้วตั้งคนที่ปูติน approve ขึ้นมาแทน
Gazprom

Gazprom นั้นปัจจุบันครองตำแหน่งผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นที่สองของโลกในเรื่องก๊าซธรรมชาติครับ แทบจะเรียกได้ว่ารัสเซียนั้นมีกำลังการผลิตเหนือกว่าซาอุดิอาระเบียแล้ว และปูตินก็ใช้ประโยชน์จาก Gazprom ได้ดีเยี่ยมเพราะปูตินมองเห็นว่า "พลังอำนาจของรัสเซียในอนาคต" นั้นมิได้อยู่ที่จำนวนหัวรบนิวเคลียร์ แต่อยู่ที่ "น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ"

....ไม่แปลกใจใช่ไหมครับที่ทำไม "วลาดีเมียร์ ปูติน" ชนะเลือกตั้งอีกครั้ง และกลับมาเป็นประธานาธิบดีรัสเซียสมัยที่ 3 ในวันนี้?....

ปล. สำหรับเพื่อนๆนักบินที่สงสัยว่าจะไปบินให้ Gazprom ได้ไหม? ผมก็ลองหาข้อมูลดูก็เจอว่า Gazprom มีบริษัทลูกชื่อ GazpromAvia มีเครื่องบินอยู่ 34 ลำ มีเฮลิคอปเตอร์ไว้บินรับ-ส่งพนักงานแท่นน้ำมันอีก 106 ลำ.....และใช้เฮลิคอปเตอร์สัญชาติรัสเซียทั้งหมดครับ เช่น Mi-8, Mi-2, Ka-26 ใครอยากไปก็คงต้องเรียนภาษารัสเซียนก่อนนะฮะ....

ปล.2 แนวทางของปูติน บางคนอาจคิดว่าโหด....แต่เราอย่าลืมว่ารัสเซียในยุคที่โซเวียตแตกนั้น ตามท้องถนนมีแต่มาเฟีย, โสเภณี, โจร และคนยากจนนะครับ การจะฟื้นฟูบ้านเมืองที่บอบช้ำนั้น จำเป็นที่ต้องมีผู้นำที่สุดขั้วเช่นกัน

วลาดีเมียร์ ปูติน (1)

15 ตุลาคม 2012

..."วลาดิเมียร์ ปูติน"...เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักบุรุษเหล็กแห่งรัสเซียคนนี้อยู่แล้วนะครับ วันนี้ผมก็อยากจะเล่าถึงปูตินในแง่ที่เป็นอดีตสายลับเคจีบีผู้รักชาติอย่างแรงกล้า และเป็นผู้พลิกชะตากรรมรัสเซียให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งด้วยอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เส้นทางชีวิตของปูตินนี่...ไม่ธรรมดาเลย

ปูตินนั้นเป็นอดีตประธานาธิบดีสองสมัยของรัสเซียครับ ตอนนี้อายุได้ 60 ปีแล้ว ชีวิตของเขานั้นเรียกได้ว่า
เจริญงอกงามขึ้นมาจนวันนี้ด้วยความเป็นสายลับเคจีบีและหยิ่งทะนงในความยิ่งใหญ่ของชนชาติรัสเซียของเขามาก ตอนนี้ปูตินเป็นผู้มีอิทธิพลตัวจริงของรัสเซีย เพราะประธานาธิบดีรัสเซียคนก่อน (เมดเดเยฟ) ก็คือเด็กในคาถาของปูตินนั่นเอง

เล่าถึงสมัยเด็กๆสักนิดละกัน ตอนปูตินอายุได้ 16 ปีนั้น เขาดูหนังสงครามโลกและอยากเป็นสายลับมากๆ จนถึงกับเดินไปที่สำนักงานเคจีบีในเลนินกราด แล้วขอสมัครเป็นสายลับ เล่นเอาจนท.เคจีบีหัวเราะแล้วบอกเค้าว่า "ไอ้หนู เธอไม่มีสิทธิเลือกหรอก เคจีบีเป็นผู้เลือกเองว่าใครจะเป็นสายลับ" ปูตินก็เลยกลับมาเรียนนิติศาสตร์จนจบด้วยคะแนนยอดเยี่ยม และเคจีบีก็เข้ามาทาบทามจนได้เป็นสายลับสมใจ


โลโก้เคจีบี

ชีวิตการทำงานสายลับของเขานั้นไม่ค่อยมีบันทึกไว้ เท่าที่หาประวัติก็พบเพียงว่า ปูตินเข้าสู่วงการเมืองในยุคที่โซเวียตแตกเป็นเสี่ยงๆ รัสเซียตกต่ำจนถึงกับข้าราชการไม่มีเงินเดือนกิน ชาวบ้านยากจน ขุมทรัพยากรต่างๆของรัฐก็โดนตระกูลผู้มีอิทธิพล 4-5 ตระกูลครอบครองหมด คอรัปชั่นเบ่งบานไปทุกหัวระแหง

หนึ่งในรัฐวิสาหกิจที่โดนขายทอดตลาดแล้วโดนบรรดาตระกูลมาเฟียยึดไว้ก็คือ Gazprom ซึ่งเป็นหน่วยงานปิโตรเลียมของรัฐ (คล้ายๆปตท.เรานี่แหละ) โดนขายออกเป็นบริษัทเอกชน รายได้แทบไม่กลับมาช่วยเหลือรัฐและประชาชน (อันนี้ยิ่งคล้าย ปตท.เข้าไปใหญ่)

ยุคนั้นปูตินได้เป็นผอ. FSB (ก็อดีตหน่วย KGB ซึ่งเทียบได้กับเป็น ผอ.CIA นั่นเอง) ในยุคของปธน.เยลต์ซิน และปูตินก็ใช้ทักษะสายลับช่วยเหลือเยลต์ซินและบรรดาตระกูลมาเฟียนี่เหมือนกัน จนกระทั่งได้รับความไว้ใจให้เป็น ปธน.ต่อจากเยลต์ซินเมื่อคราวที่เยลต์ซินล้มป่วย โดยปูตินให้สัญญาลูกผู้ชายกับเยลต์ซินว่า "จะไม่แตะต้องเยลต์ซินไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น"

ทันทีที่ปูตินขึ้นครองตำแหน่งประธานาธิบดี เขาก็เช็คบิลกับบรรดาตระกูลมาเฟียเหล่านี้ทันที แล้วยึดบริษัทน้ำมัน Gazprom กลับมาให้รัฐถือหุ้นใหญ่ต่อ ส่วนพวกหัวโจกตระกูลนั้นโดนตามเชือดจนต้องหนีออกนอกประเทศไป ส่วนกบฏเชชเนียซึ่งอาจหาญลองของวางระเบิดในมอสโคทันทีที่ปูตินรับตำแหน่งจนคนรัสเซียตายไป 300 กว่าคนนั้น ปูตินสั่งปราบกบฏเชชเนียชนิดที่ได้เรียกว่าโหดสุดๆจนแทบจะสูญพันธุ์ไปเลย จนชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วถึงความเด็ดขาด จนวันนี้เชชเนียเหลือหัวหน้าหน่อมแน้มหนึ่งคนชื่อ Ramzan Kadyrov ที่ไม่มีฤทธิ์เดชอะไรแล้ว...
เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ Kursk

อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่แสดงถึงความเด็ดขาดของปูตินคือ เมื่อครั้งที่เรือดำน้ำ Kursk ของรัสเซียจมอยู่ก้นมหาสมุทรและรัสเซียไม่สามารถกู้ขึ้นมาได้ บรรดาชาติอื่นๆเช่น สหรัฐฯ, อังกฤษ และสวีเดนก็ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือ แต่ปูตินก็รู้ดีว่าเทคโนโลยีเรือดำน้ำรัสเซียนั้นคือหนึ่งในความลับสุดยอดของชาติ ปูตินจึงตัดใจยอมให้ลูกเรือของเรือดำน้ำ Kursk สละชีพตายยกลำอยู่ก้นทะเล ไม่ยอมให้ความลับชาติรั่วไหล...

ชนรัสเซียนั้นชื่นชมปูตินมาก ด้วยความคิดที่ฝั่งรากลึกว่า "เคจีบีไม่มีวันทรยศชาติ" มีกลุ่มวัยรุ่นเป็นแฟนคลับปูตินมากมายทั่วประเทศ เพราะปูตินสามารถทำให้ GDP สูงขึ้น 7 เท่า รายได้ต่อหัวเพิ่มจาก 80$ เป็น 640$ ต่อเดือน ความเป็นอยู่ดีขึ้นมาก

ปูตินนั้นเล็งเห็นว่าหากให้รัสเซียจมอยู่กับมาเฟียและผู้อิทธิพลต่อไป ชาติของเขาก็จะกลายเป็นขยะ ปูตินรักมาตุภูมิของเขาอย่างแรงกล้า จึงต้องใช้ยาแรงในการล้างบาง การปกครองระบอบปูตินนั้นเรียกได้ว่าเป็น "เผด็จการทุนนิยม" แบบเดียวกับจีนครับ วันนี้บริษัท Gazprom ของรัสเซียผลิตก๊าซธรรมชาติได้เป็นอันดับหนึ่งของโลก เป็นผู้ครองแหล่งน้ำมันมหาศาลทางตะวันตกของไซบีเรีย นำความมั่งคั่งมาสู่รัสเซียเหลือคณานับ เพราะยุโรปแทบจะทั้งทวีปพึ่งพาน้ำมันจากรัสเซีย....

ปล. บุคลิกของปูตินนั้น เรียกได้ว่าน่ากลัวและนิ่งมาก กระทั่งปธน.จอร์จ บุช กล่าวว่า "เมื่อผมมองเข้าไปในดวงตาของเขา ผมรู้สึกเหมือนโดนอ่านทะลุไปถึงวิญญาณ"

ปล.2 ขอบคุณที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ครับ วันนี้เขียนยาวมาก แต่ผมก็สนุกมาก :) เรื่องของปูตินนั้นมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอีกมากมาย เขียนอีกวันก็ไม่จบ

 

เฮลิคอปเตอร์ Offshore

11 ตุลาคม 2012

….”เฮลิคอปเตอร์ offshore”...มีเพื่อนๆบอกให้ลองเขียนเล่าเรื่องที่ทำงานบ้าง คือผมก็บินเฮลิคอปเตอร์เหนือทะเลจากฝั่งออกไปยังแท่นขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทยน่ะครับ ก็เลยจะเล่าให้ฟังว่าเฮลิคอปเตอร์แบบที่ผมบินเนี่ย มันมีสเป็คพิเศษต่างจากเฮลิคอปเตอร์ทั่วๆไปยังไง จะพยายามใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายๆดูนะครับ

เฮลิคอปเตอร์รุ่นที่ผมบินคือ Sikorsky S-76 ครับ เรียกสั้นๆว่า S-76 ผู้ผลิตก็คือบริษัท Sikorsky (อ่านว่า “ซิ-คอส-สะ-กี้”) นั่นเอง ซึ่งดูจากชื่อก็คงพอเดาออกว่าเป็นชื่อรัสเซีย เพราะคุณ Igor Sikorsky ผู้ก่อตั้งบริษัทเนี่ยพื้นเพเดิมเป็นคนรัสเซีย แต่ต่อมาก็อพยพย้ายมาอยู่อเมริกาเมื่อปี 1919 แล้วก็ตั้งบริษัท Sikorsky ขึ้นมาผลิตเฮลิคอปเตอร์ จนปัจจุบันมีมากมายหลายแบบเลยครับ....

เฮลิคอปเตอร์ Sikorsky S76 C++

หากเปรียบเทียบแล้ว Sikorsky ก็เปรียบเสมือนโตโยต้า ที่ผลิตเฮลิคอปเตอร์รุ่นมาตรฐานทั่วๆไปออกมาน่ะครับ แต่พอจะเอาไปทำอะไรพิเศษๆก็ต้องเอาไปโมดิฟาย (เหมือนเอารถเก๋งไปแต่งเป็นรถแข่งน่ะครับ) ทีนี้พอจะเอาเจ้า S-76 ไปบินเหนือทะเล ก็ต้องเพิ่มอุปกรณ์พิเศษเข้าไปเพื่อให้ปลอดภัยมากขึ้น ก็เลยต้องส่งเจ้า S-76 เนี่ยไปที่บริษัท Heli-One ซึ่งรับแต่งเฮลิคอปเตอร์ให้มาบินเหนือทะเล โดยเพิ่มออปชั่นหลักๆเข้าไปดังนี้ครับ

1. ติดทุ่นลอยน้ำ หรือ Float เข้าไป เพื่อกรณีที่ว่าเฮลิคอปเตอร์ตกน้ำ ก็จะได้มีทุ่นกางออกมาพยุงให้เฮลิคอปเตอร์ลอยน้ำอยู่ได้พักนึง ให้เวลานักบินกับผู้โดยสารหนีออกมาข้างนอกได้สักหน่อย ไม่ใช่ตกน้ำปุ๊บแล้วจมดิ่งพรวดยาวไปก้นทะเลเลย ทีนี้เจ้าระบบทุ่นเนี่ยก็จะมีตัวเซ็นเซอร์อยู่ใต้ท้องเครื่อง พอเซ็นเซอร์มันสัมผัสได้ว่าท้องเครื่องจมอยู่ในน้ำ มันก็จะให้ทุ่นกางออกมาเองโดยอัตโนมัติด้วย....เผื่อนักบินลืมหรือกำลังยุ่งอยู่

2. แพชูชีพ (Life Raft) ทีนี้ถ้าสมมติว่าเครื่องตกน้ำไปแล้ว นักบินและผู้โดยสารออกมาลอยคอ เราก็จะต้องมีแพชูชีพซึ่งจะพับเก็บอยู่ใต้ท้องเครื่องเช่นกันครับ เจ้า S-76 ของผมก็มีแพชูชีพอยู่สองอัน (ซ้าย-ขวา) ข้างในแพก็จะมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตครบครัน มีหลังคากันแดดให้พร้อม เผื่อนั่งรอคนมาช่วยนานๆจะได้ไม่ร้อน
อากาศแบบนี้...ใช้เรด้าร์ดีที่สุดฮะ

3. เรด้าร์ตรวจอากาศ คืออันนี้เนี่ยเป็นออปชั่นที่ใครๆก็ติดได้ แต่เครื่องที่เอามาบินเหนือทะเลมหาสมุทรแบบผมนี่จำเป็นมาก เพราะทะเลเวลาเป็นพายุนี่มันน่ากลัว เรด้าร์แบบนี้จะช่วยทำให้ผมมองเห็นกลุ่มเมฆฝนหรือกลุ่มพายุล่วงหน้าได้เป็นร้อยไมล์เลย ก็จะช่วยให้บินซอกแซกหลบไปหาเส้นทางที่ท้องฟ้าโล่งๆได้ นักบินก็สบายใจ ผู้โดยสารก็จะได้หลับสบาย

4. GPS นี่ก็จำเป็นเพราะท้องทะเลนี่มันไม่มีป้ายบอกทาง หรือแลนด์มาร์คอะไรที่จะช่วยไม่ให้หลง จะลงจอดแวะถามทางจากเรือประมงก็คงจะไม่ควร การที่มีจีพีเอสก็จะช่วยได้อย่างมากเพราะบางทีแท่นน้ำมันบางแท่นเค้าก็ย้ายไปขุดตรงโน้น ย้ายมาขุดตรงนี้ ผมก็ต้องอาศัยพิกัดจีพีเอสนี่แหละครับช่วยนำทางไปจนเจอ

5. ตัวส่งสัญญาณฉุกเฉิน หรือ Crash Position Indicator ที่จะดีดตัวออกจากเครื่องอัตโนมัติเมื่อเครื่องจมน้ำ แม้มันจะดีดออกไปไม่ไกลจากตัวเครื่องมาก แต่ก็เพื่อที่มันจะได้ไม่จมลงไปพร้อมกับเครื่องไงครับ เจ้าตัวนี้ทำหน้าที่ส่งคลื่นวิทยุขอความช่วยเหลือออกไปหาหน่วยกู้ภัยบนฝั่งครับ (ถ้าดูในรูปจะเห็นเป็นกล่องกลมๆสีส้มอยู่ตรงหางน่ะครับ)

ส่วนเรื่องเครื่องยนต์นั้น อันนี้เป็นสเป็คที่ตามกฎหมายเค้าบอกมาเลยว่า เฮลิคอปเตอร์ที่มาบินเหนือทะเลจะต้องมีอย่างน้อยสองเครื่องยนต์ เผื่อเครื่องยนต์ไหนดับไป จะได้เหลืออีกเครื่องให้ประคองบินอยู่บนฟ้าได้ต่อไป แม้โรงงานผู้ผลิตจะรับประกันว่าโอกาสที่เครื่องยนต์นึงจะดับมีเพียง 1 ใน 100,000 ชม.บินเท่านั้นก็ตามที เพราะเราคงไม่ทราบหรอกครับว่าวันไหนเราจะดวงจู๋หรือเปล่า....

อุปกรณ์พิเศษที่ผมเล่ามาก็เป็นเพียงเล็กๆน้อยๆครับ จริงๆยังมีอะไรอีกเยอะแยะรวมทั้งมีข้อกำหนดเล็กๆน้อยๆอีกเช่นว่า ประตูและหน้าต่างทุกบานจะต้องสามารถถอดออกได้ (เผื่อกรณีฉุกเฉิน), นักบินและผู้โดยสารจะต้องสวมเสื้อชูชีพตลอดเวลา เป็นต้น
S-76 เวลาบินบนท้องฟ้า....สวยงามมาก

เฮลิคอปเตอร์ที่บินเหนือทะเลนั้นมีมากมายหลายแบบหลายยี่ห้อ ส่วนตัวผมน่ะ ชอบเครื่องรุ่น S-76 เวลาบินอยู่บนฟ้ามากๆ เพราะรูปร่างงามงดจริงๆ ดูแล้วเหมือนปลาโลมาที่กำลังว่ายอยู่บนฟ้าครับ นี่ละครับ เครื่องที่ผมใช้บินทำงานอยู่ทุกวัน ……

ปล. รูปนี้นี่ผมเป็นนายแบบเองฮะ ตอนแรกจะหารูป S-76 สวยๆมาลงแต่หาไม่ได้ ก็เลยเอารูปตัวเองละกันงั้น 5555

BVLGARI

10 ตุลาคม 2012

..."BVLGARI" หรือ "บุลการี" วันนี้อยากลองเขียนถึงแบรนด์บุลการีดู เพราะวันก่อนไปลองน้ำหอมแบรนด์นี้แล้วติดใจ เพราะหอมแบบมีระดับดี (ราคาก็ผู้ดี๊ผู้ดีมาก) ผสมกับเคยได้ยินชื่อแบรนด์นี้จากหนังเรื่อง "Ocean Eleven" ด้วยครับผม

...คำว่า BVLGARI นี้จริงๆก็อ่านว่า Bulgari นี่ละครับ เพียงแต่เจ้าของเขาต้องการใช้ภาษาลาติน เพราะตัว V นั้นก็คือตัว U ในลาติน ส่วนการที่ยังคงใช้ BVLGARI จนปัจจุบันนั้นน่าจะเป็นเพราะว่าแบรนด์นี้ผู้ก่อตั้งเป็นช่างเงินชาวกรีก นามว่า Sotirio Voulgaris ซึ่งในกาลต่อมาเขาย้ายมาเปิดร้านที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ทั้งนี้ Voulgaris นั้นก็อ่านว่า Bulgari ในภาษาอิตาเลียนครับ

จูลีแอนน์ มัวร์ นางแบบ BVLGARI

แบรนด์บุลการีนี้อายุได้เกือบๆ 130 ปีแล้ว โดยโด่งดังมาจากการผลิตอัญมณี (Jewelry) ครับ ด้วยเอกลักษณ์ในการดีไซน์ที่สวยงามผสมผสานระหว่างศิลปะกรีกและโรมันจนเติบโตเป็นแบรนด์เครื่องประดับอัญมณีชั้นสูง แบรนด์นี้ให้ภาพลักษณ์อัญมณีราคาแพงจนหนังแนวขโมยไฮโซ เช่น Ocean Eleven ก็เอาแบรนด์นี้มาเล่นด้วย กระทั่ง Iron Man ก็สวมนาฬิกาบุลการี รุ่น Diagono ปรากฏในฉาก

บุลการีมุ่งผลิตเครื่องประดับอัญมณีอย่างเดียวจนกระทั่งช่วงปี 1970 จึงเริ่มผลิตนาฬิกาครับ ซึ่งทุกเรือนจะมี serial number เฉพาะตัว ต่อมาช่วงปี 1990 ก็เริ่มผลิตน้ำหอม ตามด้วย accessories อย่างอื่นเช่น แว่นตา กระเป๋า เป็นต้น ....ส่วนตัวผมชอบกลิ่นน้ำหอมบุลการี Extreme For men ครับ

นอกจากข้าวของเครื่องใช้แล้ว เมื่อปี 2001 บุลการีก็ก้าวสู่ธุรกิจสปา ตามด้วยโรงแรมและรีสอร์ท ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นระดับไฮเอนด์ห้าดาวเช่นกัน ตอนนี้มีอยู่ 3 แห่งคือ มิลาน, ลอนดอน และสาขาที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ "บาหลี" โดยได้รับการโวทจากแม็กกาซีน Smart Travel Asia ให้เป็นโรงแรมที่น่าพักอันดับสองของเอเชียเลยนะฮะ
โรงแรมบุลการี บาหลี

ผมแอบเข้าไปดูราคาที่บาหลีมา เริ่มต้น 1 ห้องนอนโอเชียนวิววิลล่าคืนละ 900$ (27,000 บาท) ส่วนแพงสุด 3 ห้องนอนบุลการีวิลล่าคืนละ 6,000$ (180,000 บาท) มองเห็นมหาสมุทรอินเดียด้วย ใครจะเมตตาพาไปเที่ยว ผมขอนอนเตียงเสริมก็ได้ครับ 555 แพงระยับจับใจจริงๆ (....ส่วนของที่ป่ามะพร้าวผมเป็นอ่าวไทยวิวฮะ สวยไม่แพ้กันนะขอบอก)

ปล. ตอนนี้แบรนด์บุลการีก็อยู่ภายใต้บริษัทฝรั่งเศสนามว่า LVMH (Moet Hennessy Louis Vuitton) ครับ ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ที่เป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าหรูไว้เพียบ เช่น Louis Vuitton, Marc Jacob, Tag Heuer, Loewe, Givenchy, Christian Dior, Fendi ฯลฯ

ปล.2 นางแบบในภาพคือ Julianne Moore ครับ เป็นแคมเปญโฆษณาที่ดังเมื่อสองปีก่อนเพราะภาพค่อนข้างวาบหวิว (ที่ผมเลือกมานี่ ดูเรียบร้อยสุดละฮะ) ส่วนนางแบบคนอื่นๆของบุลการีก็มี Rachel Weisz แล้วก็ Kirsten Dunst เป็นต้น

บริษัทน้ำมันบิ๊กไฟว์ของโลก

7 ตุลาคม 2012

..."บริษัทน้ำมันบิ๊กไฟว์ของโลก"....คือไหนๆผมก็อยู่ส่วนหนึ่งของธุรกิจนี้ด้วย วันนี้ก็เลยขอเขียนเรื่องบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ 5 แห่งนะครับ หรือที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Supermajor เพราะบางคนอาจคิดว่า "เชฟรอน" คือบริษัทที่ใหญ่ที่สุด แต่จริงๆแล้วไม่ใช่.....

บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ 5 แห่งนั้นคือ.....


1. ExxonMobil : เอ็กซอนโมบิลนี่คือยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดครับ เป็นบริษัทที่มีรายรับสูงสุดและมีขนาดใหญ่ที่สุด
ในโลก (คู่คี่กันมากับวอลล์มาร์ท) มีกำเนิดมาจากสแตนดาร์ดออยล์ของ คุณร็อคกี้เฟลเลอร์ (มหาเศรษฐีเหล็กของโลก) ต่อมาก็มารวมตัวกับโมบิล กลายเป็น ExxonMobil สำหรับในเมืองไทยนั้นก็ยังใช้ชื่อ Esso ด้วย แต่ในเมืองไทยนั้นไม่มีการขุดเจาะน้ำมันครับ มีแต่โรงกลั่นอยู่ตรงแหลมฉบั

เอสโซ่นั้นอยู่คู่เมืองไทยมานาน ทั้งรายการ"ความรู้คือประทีป" และสโลแกน "จับเสือใส่ถัง พลังสูง" นั่นเอง และเอสโซ่นั้นเป็นปั๊มเดียวที่มีสาขาในพระราชวังสวนจิตรลดาครับ :)

2. Chevron Corp: เชฟรอนเป็นยักษ์ตัวที่สองรองลงมาครับ เชฟรอนนั้นกำเนิดจากสแตนดาร์ดออยล์เช่นเดียวกัน แต่แยกทางกันเดิน ต่อมาก็มารวมตัวกับ Texaco (ปี2000) แล้วก็ไปซื้อยูโนแคลต่อในปี 2005 สำหรับในเมืองไทยนั้น เชฟรอนขุดเจาะในอ่าวไทย แต่ไม่มีโรงกลั่นครับ (สลับกันกับเอสโซ่) บางคนอาจคุ้นๆชื่อยูโนแคลในเมืองไทยตอนพายุเกย์ถล่ม ตอนนี้ไม่มียูโนแคลแล้ว...มีแต่เชฟรอนในอ่าวไทยครับ

3. BP (British Petroleum): บีพีเป็นยักษ์ตัวที่สามครับ และเป็นบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก แม้ในเมืองไทยเราจะไม่โด่งดังเท่าไร แต่บีพีนี่มีธุรกิจบริษัทลูกกระจายไป 80 ประเทศ ลงทุนไปหลายแห่งมากรวมทั้งรัสเซียและอ่าวเม็กซิโก (ที่ฉาวไปทั่วโลกตอนวิกฤติน้ำมันดิบปนเปื่อนเมื่อสองปีก่อนไง)
แคมเปญโปรโมทก๊าซหุงต้มในเมืองไทยของเชลล์

  4. Royal Dutch Shell : เชลล์นั้นเป็นอีกหนึ่งยี่ห้อที่คุ้นหูคนไทยเป็นอย่างดี คนสมัยก่อนมักเรียกว่า "ปั๊มตราหอย" นั่นไง เป็นบริษัทน้ำมันสัญชาติเนเธอร์แลนด์ผสมกับอังกฤษครับ ถูกก่อตั้งมาเพื่อสู้กับสแตนดาร์ดออยล์โดยเฉพาะ และก็สู้ได้สมฐานะเพราะอยู่ใน rank อันดับสองของตลาดหุ้นนิวยอร์กทีเดียว สำหรับในเมืองไทย....เราคงรู้จัก "เชลล์ชวนชิม" กันแน่นอน...เชลล์ขวนชิมนี้เป็นแคมเปญที่เชลล์ใช้เพื่อโปรโมทก๊าซหุงต้มในเมืองไทยเมื่อ 50 ปีก่อน โดยมี ม.ร.ว.ถนัดศรี เป็นผู้ดำเนินรายการจนกลายเป็นโลโก้มาจนปัจจุบัน

5. ConocoPhillips: โคโนโคฟิลิปส์นี้ คนไทยจะรู้จักในนามปั๊มเจ็ท (Jet) ครับ แต่ภายหลังโดน ปตท.ซื้อไปเมื่อปี 2008-2009 ด้วยมูลค่าประมาณหมื่นล้านบาท โดยซื้อทั้งปั๊มและร้าน Jiffy เลย การซื้อครั้งนี้ทำให้ ปตท.มีสาขาปั๊มเพิ่มขึ้นประมาณ 140 แห่ง ส่วนแบรนด์ปั๊มโคโนโค่นี้จะส่วนใหญ่แล้วอยู่ในอเมริกาเหนือครับ (ขอบคุณข้อมูลเรื่องปั๊ม JET จากเพื่อนๆและน้องๆครับผม)

อย่างไรก็ตาม...บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งห้าแห่งนี้ ควบคุมแหล่งพลังงานเพียง 6% ของทั้งโลก นอกนั้นล้วนเป็นของกลุ่มโอเปคและรัฐบาลอื่นๆซึ่งส่วนใหญ่อยู่แถบตะวันออกกลางครับ นอกนั้นก็มีบริษัทเช่น ปิโตรนาส (มาเลเซีย), ไชน่าเนชั่นแนลปิโตรเลียม (จีน), Gazprom (รัสเซีย), Petrobras (บราซิล) ที่เป็นยักษ์ใหญ่ที่ซุ่มเงียบอยู่นานเช่นกัน....

....สำหรับปตท.ของไทยแลนด์ ตอนนี้ขยายออกไปร่วมทุนกับชาวบ้านเค้าไปทั่วโลกไกลถึงแคนาดา....และมีหน้าที่เมคชัวร์ว่าคนไทยจะได้ใช้น้ำมันราคาแพงเท่าประเทศมองโกเลียโน้นน....

น้อย วงพรู

7 ตุลาคม 2012

...."น้อย วงพรู" หรือ คุณกฤษฎา สุโกศล แคลปป์ วันนี้ขอเขียนถึงพี่น้อยด้วยความนับถือในความติสท์และเท่ห์โคตรของพี่เค้านะฮะ ยิ่งได้ดูหนังเรื่อง "อันธพาล" ที่พี่น้อยรับบทนักเลงชื่อดังในยุค 2499 นามว่า "จ๊อด เฮาดี้" ที่เป็นเพื่อนสนิทของ "แดง ไบเล่ย์" แล้วยิ่งไปกันใหญ่
พี่น้อย กฤษฎา สุโกศล

พี่น้อยเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกันครับ เป็นลูกชายคนเล็กของมิสเตอร์เทอร์เรนซ์ เอช แคลปป์ กับคุณกมลา สุโกศล (ซึ่งตอนนี้ได้หย่ากันแล้ว) เชื่ื่อว่าคงจำชื่อคุณกมลาได้จากเพลง "Live & Learn" ที่ร้องว่า "เมื่อวันที่ชีวิต...เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน จนบางครั้งคนเราไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ..." กันได้นะครับ นั่นแหละฮะ แม่พี่น้อยเอง

ตระกูลสุโกศลนั้นจัดว่าเป็นมหาเศรษฐีผู้หนึ่งของเมืองไทย โดยคุณกมล สุโกศล (คุณตาของพี่น้อย) เป็นนักธุรกิจที่มากความสามารถ ทำทั้งประกันภัย, เครื่องใช้ไฟฟ้า, รถยนต์ รวมทั้งเป็นเศรษฐีที่ดินหลายแปลงที่สำคัญในกรุงเทพฯ จนมีมรดกตกทอดมาถึงลูกหลานมากมาย ปัจจุบันบางคนอาจจะเคยขับรถผ่าน อาคาร "กมล สุโกศล" บนถนนสีลมนะครับ นั่นแหละของคุณตาพี่น้อยเอง

พี่น้อยมีพี่น้องทั้งหมด 4 คน ซึ่งแต่ละคนล้วนแต่มีความเป็นศิลปินสูง เช่น คุณมาริสา สุโกศล (ที่ร้องเพลง "สักวันหนึ่ง" ที่เอาประกอบหนัง "สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก") หรือ คุณสุกี้ ที่ก่อตั้งค่ายเพลงเบเกอรี่ ทำให้เรามีเพลงเพราะๆฟังจากฝีมือพี่บอยด์จนวันนี้ ก็คงเป็นเพราะคุณแม่พี่น้อยที่สนับสนุนให้ลูก "ทำในสิ่งที่ตัวเองมีความสุข" นั่นเอง...

ตอนนี้พี่น้อยแต่งงานมีลูกสองคนแล้ว ภรรยาชื่อเมลานี (ลูกครึ่งจีน-สิงคโปร์) ครับ
โรงแรมเดอะสยาม

ใครอยากอุดหนุนผลงานพี่น้อย.....ผมแนะนำให้ไปพักโรงแรม The Siam ตั้งอยู่ใกล้ๆสะพานซังฮี้ครับ เป็นโรงแรมของพี่น้อยที่เพิ่งเปิดใหม่เอี่ยม สไตล์โคโลเนียลระดับโคตรหรู เพราะลงทุนไปพันล้านบาท สำหรับห้องพัก 39 ห้องเท่านั้นเอง (คนรวยทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด) ตกแต่งสวยงามมาก ของตกแต่งในโรงแรมจะเป็นของเก่าโบราณในคอลเลกชั่นที่พี่น้อยสะสมไว้ฮะ

ใครสนใจก็ลองเข้าไปดู
www.thesiamhotel.com ละกันครับ

ซีอีโอเชฟรอน

4 ตุลาคม 2012

"CEO Chevron" พอดีวันนี้ได้มีโอกาสบินให้คุณ John Watson ซึ่งเป็นประธานบอร์ดและ CEO ของบริษัท Chevron Corporation สหรัฐอเมริกา ไปดูแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ นามว่า"ปลาทอง"กลางอ่าวไทย ก็เลยอยากจะเขียนเล่าถึงคุณจอห์นว่า มีที่มาที่ไปยังไงกว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นบิ๊กบอสของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ได้
คุณ John Watson

ตอนนี้คุณจอห์นอายุ 55 ปีแล้วครับ แต่เท่าที่ผมเห็นก็ยังดูอ่อนกว่าวัยมาก (ตัวสูงทีเดียว) เป็นประธานบอร์ด
และซีอีโอของเชฟรอนมาได้สองปีแล้ว คุณจอห์นนั้นถ้าดูจากประวัติก็ถือได้ว่าเป็นลูกหม้อของเชฟรอนเลย กล่าวคือ พอเรียนจบ MBA ตอนอายุ 23 ปั๊บก็เข้าทำงานที่เชฟรอนเลย เริ่มจากตำแหน่งนักวิเคราะห์การเงิน (financial analyst) แล้วก็เติบโตในสายงานด้านการเงินและธุรกิจมาตลอด จนมาถึงเป็น CFO ของ Chevron-Texaco

ตำแหน่ง CFO ก็คือ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน (Chief of Financial Officer) ครับ....ก็ถือเป็นตำแหน่งสูงสุดในสายการเงิน

ผลงานที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ เป็นหนึ่งในทีมผู้บริหารที่ผลักดันให้เชฟรอนกับ Texaco (ยักษ์ใหญ่น้ำมันในเท็กซัส) ควบรวมกิจการกันเมื่อปี 2000 ต่อมาคุณจอห์นก็เข้าสู่ตำแหน่งวางแผนและพัฒนาธุรกิจ เป็นประธานบริหารบริษัทลูกๆของเชฟรอนหลายแห่ง เช่น เชฟรอนแคนาดา, เชฟรอน-texaco oversea เป็นต้น จนมาเป็นรองประธานบอร์ดเชฟรอน แล้วก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในปัจจุบัน
ปั๊มน้ำมันเชฟรอนในแคลิฟอร์เนีย

บางคนอยากทราบว่า ซีอีโอเชฟรอนเงินเดือนเท่าไร ผมก็ลองไปหาได้มาจาก Forbes ครับ....เห็นแล้วสะดุ้งโหยง คือ

เฉพาะในปี 2011 ที่ผ่านมา คุณจอห์นรับค่าตอบแทนรวม 24.7 ล้านเหรียญสหรัฐครับ (คิดเป็นเงินไทยก็จะได้ราวๆ 750 ล้านบาท....โอ้ว...มาย...บุ๊ดด้า!!!) ซึ่งในจำนวนนี้ เป็นเงินเดือนเพียง 1.26 ล้านเหรียญเท่านั้น ส่วนที่เหลือราวๆ 23.5 ล้านเหรียญคือ ค่าตำแหน่ง, ค่าชดเชย, ค่าผลตอบแทนหุ้นประจำตำแหน่ง ครับ

ตำแหน่งซีอีโอเชฟรอนนั้นจัดว่ารายได้ต่อปีสูงที่สุดในบรรดาซีอีโอบริษัทธุรกิจน้ำมันด้วยกัน เช่น ซีอีโอของเชลล์ ปีละ 210 ล้านบาท ส่วนซีอีโอบีพีได้ 105 ล้านบาท แต่อย่างไรก็เทียบกันลำบาก เพราะขนาดของบริษัทมันใหญ่เล็กต่างกันครับ

....มีลูกมีหลาน ก็ส่งเค้าไปเรียนการเงินหรือเรียนบริหารธุรกิจเถอะครับ รวยดี อย่าส่งไปเป็นนักบินเลย....แดดมันร้อน

ปล.คุณจอห์นเรียนจบปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์การเกษตรจาก UC Davis และปริญญาโทบริหารธุรกิจจาก U of Chicago ครับ เรียนจบปุ๊บก็เข้าเชฟรอนปั๊บ...จวบจนวันนี้

ปล.2 บอร์ดบริหารของเชฟรอนมี 11 คนครับ มีบุคลากรหลากหลายแบ็คกราวน์มาก เช่น อดีตทูตสหรัฐประจำ WTO, อดีตซีอีโอ Coca-Cola, อดีตซีอีโอ Northrop-Grumman (บริษัทผลิตเครื่องบินและอาวุธ), อดีตโปรเฟสเซอร์มหาวิทยาลัยเนบราสก้า และอื่นๆอีกหลายคน

Tuesday, October 23, 2012

เหล้าเบย์ลี่ส์ (Baileys Irish Cream)

2 ตุลาคม 2012

"เบย์ลี่ส์ (Baileys Irish Cream)" วันนี้รู้สึกอยากกินครีมเบย์ลี่ส์ขึ้นมาก็เลยขอเล่าถึง เหล้าชนิดนี้เผื่อมีคนไหนสนใจ ลองไปซื้อมาทานดูนะครับ อร่อยมากๆ คอนเฟิร์ม


เบย์ลี่ส์นี้เป็นเหล้าสัญชาติไอริชครับ หน้าตาจะข้นๆเป็นครีม สีออกน้ำตาลอ่อนๆคล้ายกาแฟ แต่แอลกอฮอล์ประมาณ 17% เลย กลิ่นจะหอมหวานมาก เพราะทำขึ้นจากแอลกอฮอล์ที่หมักขึ้นจากหางนม (Whey) ผสมกับครีมแล้วก็ไอริชวิสกี้ ซึ่งเค้าว่าเจ้าแอลกอฮอล์จากหางนมนี้แหละที่เป็นตัวยึดให้ครีมกับวิสกี้ผสมเป็นเนื้อเดียวกันเป็นเอกลักษณ์ของเหล้าเบย์ลี่ส์เลย

ตอนนี้เหล้าเบย์ลี่ส์ทำออกมา 4 รสครับ คือ Original, Cream Caramel, Coffee และก็ Mint Chocolate ใครที่อยากลองผมแนะนำให้ซื้อรส Original ขวดเล็กมาลองทานก่อนครับ แล้วก็พอเปิดขวดปุ๊ป ต้องแช่ตู้เย็นนะครับ (ก่อนเปิดไม่เป็นไร แต่ควรเก็บในที่ร่ม) เพราะไม่ได้ผสมวัตถุกันเสีย ถึงอายุจะยาวนาน 3 ปี แต่เก็บดีๆน่าจะทำให้รสชาติคงที่ครับ

เหล้าชนิดนี้ผลิตออกมาตั้งแต่ปี 1974 ครับ พอออกมาปุ๊บก็ได้รับความนิยมสูงเลย เพราะว่าสามารถเอามาใช้ผสมเครื่องดื่มได้หลายสูตร แล้วก็เอามาทำขนมได้หลายชนิดมาก เดี๋ยวผมจะอธิบายสูตรสั้นๆละกัน เผื่อใครจะเอาไปลองทำดู

1. ผสมนม คือ เอาเบย์ลี่ส์เทใส่แก้ว (ให้สูงประมาณ 1 ซม.) แล้วผสมนมเย็นๆลงไปครับ แนะนำให้ใช้นมเมจิโกลด์ เพราะจะทำให้มันมากขึ้น คนให้เข้ากันแล้วดื่มได้เลย อร่อยมาก

2. เสิร์ฟพร้อมไอศครีม คือ เอาไอศครีมวานิลลาใส่ถ้วย แล้วเทเบย์ลี่ส์ราดลงไป แล้วก็ทานได้เลยครับ

3. ผสมกับกาแฟ คือ เอากาแฟร้อนที่เราชงปกติ จะใส่น้ำตาลหรือไม่ก็ได้ แล้วเทเบย์ลี่ส์ผสมไปประมาณ 1 ช้อนชา จะทำให้กลิ่นกาแฟหอมหวานมากขึ้น

4. อบบราวนี่ คือ เวลาเราทำส่วนผสมสำหรับบราวนี่เพื่อเตรียมอบน่ะครับ ให้ใช้เบย์ลี่ส์ใส่ลงไปแทนน้ำ แล้วเข้าเตาอบ จะทำให้บราวนี่หอมขึ้นและมันมากขึ้นครับ

สำหรับราคา เท่าที่ผมทราบ ขวดขนาด 1 ลิตรราคาประมาณ 750-900 บาท สำหรับขวดเล็กผมจำไม่ได้ ถ้าจะให้ดีก็ซื้อที่ duty free สุวรรณภูมิครับ ราคาจะถูกลงเยอะเลย.....เวลาดื่มก็ระวังเมานะครับ แอลกอฮอล์ตั้ง 17% แน่ะ :)

ภควัทคีตา

30 กันยายน 2012

...."ภควัทคีตา"....

”รบเถิดอรชุน หากท่านตายในสนามรบ สวรรค์ยังรอท่านอยู่ยังเปิดประตูรอผู้ปราชัย แม้หากว่าท่านชนะ ความเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้ทุกพงพื้นปฐพีรอให้ท่านมาครอบครอง”....นี่คือท่อนหนึ่งของบทเพลง “ภควัทคีตา” ของคาราบาวครับ วันนี้ผมนึกถึงเพลงท่อนนี้ขึ้นมาก็เลยอยากจะเขียนเล่าโดยย่อว่า “ภควัทคีตา” คืออะไร....

“ภควัทคีตา”นี้เป็นคัมภีร์ในศาสนาฮินดูครับ เนื้อเรื่องเป็นบทสนทนาระหว่าง “อรชุน” เจ้าชายของราชวงศ์ปาณฑพผู้มีฝีมือยิงธนูเป็นเลิศ กับ “กฤษณะ” คนขับรถศึกของอรชุนซึ่งจริงๆแล้วคือพระนารายณ์ปลอมตัวมา เรื่องราวที่ทั้งสองคุยกันก็คือ เหตุการณ์ในมหาสงครามระหว่างสองราชวงศ์คือ ปาณฑพกับเการพ ซึ่งแท้จริงเป็นญาติตระกูลเดียวกันแต่รบกันเพื่อชิงดินแดน “หัสตินปุระ”เท่านั้นเอง

อรชุน (ถือธนู) และ กฤษณะ (ขับรถศึก)

อรชุนเกิดความเบื่อหน่ายในมหาสงครามนี้ เพราะบรรดาขุนศึกทั้งหลายก็ล้วนเป็นพี่น้องกัน กระทั่งอรชุนอยากจะถอนตัวออกมา แต่กฤษณะก็พยายามทัดทานไว้ ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดของภควัทคีตาก็คือ คำถามที่อรชุนตั้ง แล้วกฤษณะเป็นผู้ตอบถวายอธิบายให้เห็นความสำคัญของหน้าที่ของมนุษย์ มีปรัชญาธรรมแฝงอยู่มากมาย ซึ่งเป็นคำสอนที่ลึกล้ำของฮินดูลัทธิไวษณพ ซึ่งนับถือพระวิษณุหรือพระนารายณ์นั่นเอง

ประเด็นหลักหรืออภิปรัชญาที่กฤษณะตอบอรชุนคือ อรชุนมีหน้าที่ของกษัตริย์ที่จะต้องเข้าร่วมรบเพื่อความเป็นธรรมและปกป้องแผ่นดิน ความตายมิใช่สิ่งน่ากลัว เพราะเมื่อตายไปก็ตายเพียงภายนอก ตัวตนของเรายังคงอยู่ แต่หากเรามิได้ทำหน้าที่ของเรานั่นแหละ คือ ความอดสูและเลวร้ายเสียยิ่งกว่าความตายเสียอีก และ “คนเราเกิดมาก็ต้องมีตาย แต่จะเลือกตายอย่างไรให้สมเกียรติยศและศักดิ์ศรี”

ด้วยความที่เขียนเป็นบทกวีร้อยกรอง จึงตั้งชื่อว่า “ภควัทคีตา” มาจาก ภควา (พระผู้เป็นเจ้า) + คีตา (บทเพลง) จึงรวมกันแปลว่า “บทเพลงแห่งพระผู้เป็นเจ้า” นั่นเอง เป็นบทกวีทั้งหมด 700 บท และเป็นส่วนหนึ่งของมหากาพย์มหาภารตะนั่นเองครับ

พี่แอ๊ดก็ได้นำมาแต่งเป็นเพลง “ภควัทคีตา” ซึ่งท่อนที่ผมชอบคือ ตอนที่กฤษณะถามอรชุน “โอ้อรชุน ใยไม่ยิงศร ดูเจ้าอาวรณ์เหนือความเป็นธรรม จิตเจ้าโลเล ใจเจ้าเหลียวหลัง แรงเจ้าอ่อนล้า ตาเจ้ามืดมัว ทั่วปฐพี มีเพียงคมศร อิทธิฤทธิ์รอน ลดความรุนแรง"

......”รบเถิดอรชุน”.....

วัดพระธาตุเมืองนคร

30 กันยายน 2012

..."วัดพระธาตุเมืองนคร"...ผมมากินอยู่หลับนอนและทำมาหากินบนแผ่นดินเมืองนครมาก็เกือบ 2 ปีแล้ว ยังไม่ได้เขียนอะไรเพื่อตอบแทนแผ่นดินนี้เลย วันนี้ก็เลยอยากจะเขียนถึงวัดพระธาตุ ด้วยความศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาและเชิดชูประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของเมืองนครครับ
วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร

วัดพระธาตุ มีชื่อเต็มว่า "วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร" ครับ เป็นวัดที่เก่าแก่มากซึ่งหากย้อนประวัติศาสตร์จุดเริ่มต้นจริงๆก็ไปได้ถึงประมาณ พ.ศ.1093 เมื่อครั้งพระยาศรีธรรมาโศกราชสร้างเมืองนคร และได้สร้างเจดีย์ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ (พระทันตธาตุ หรือ ฟัน) ของพระพุทธเจ้าไว้ ซึ่งที่มาของพระธาตุนี้ก็มีตำนานเช่นกัน

พิธีแห่ผ้าขึ้นพระธาตุ

ตำนานนั้นคือ เมื่อคราวพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน บรรดากษัตริย์ทั้งหลายในชมพูทวีปก็ได้แบ่งพระสารีริกธาตุกันไปบูชาที่แว่นแคว้นของตน มีเมืองหนึ่งชื่อ "ทนธบุรี" ได้พระทันตธาตุมารักษาไว้ ต่อมามีกษัตริย์เมืองอื่นยกทัพมาขอแบ่งอีก พระเจ้าสิงหราชเจ้าเมืองเห็นท่าไม่ดี ก็เลยให้พระโอรสและพระธิดานำพระทันตธาตุนั้นขึ้นเรือหนีออกมา แล้วเรือก็แตก พระโอรสกับพระธิดาก็รอดชีวิตมาขึ้นฝั่งที่หาดทรายแก้ว นี่เอง

พอขึ้นฝั่งแล้วก็ได้ฝังพระทันตธาตุไว้ กาลต่อมาทั้งสองพระองค์ก็ได้กลับลังกา แต่ก็ได้ทิ้งพระทันตธาตุบางส่วนพร้อมสร้างเจดีย์ครอบไว้ที่นี่ เมื่อพระเจ้าศรีธรรมมาโศกราช (ผู้สร้างเมืองนคร) มาพบเข้าก็จึงได้สร้างเจดีย์ใหญ่ครอบไว้อีกชั้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของวัดพระธาตุ ซึ่งในกาลต่อมาพระมหากษัตริย์ของชาติไทยเราก็ได้ทำนุบำรุงวัดพระธาตุมาตลอดจนรัชกาลปัจจุบัน

พระบรมธาตุเจดีย์นี้เป็นสถานที่ที่ใครมาเมืองนครฯก็ควรจะได้มาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลครับ

นอกจากพระบรมธาตุเจดีย์แล้ว วัดพระธาตุก็เป็นจุดกำเนิดขององค์จตุคามรามเทพที่โด่งดังไปทั่วประเทศเมื่อปี 2550 (ครั้งที่ขุนพันธรักษ์ราชเดชเสียชีวิต ซึ่งท่านเป็นผู้สร้างพระผงจตุคามรามเทพเป็นคนแรก) ตามตำนานแล้วองค์จตุคามรามเทพนั้นแบ่งเป็น 2 องค์ครับ คือ ท้าวจตุคามกับท้าวรามเทพ เป็นเทวดาที่รักษาพระธาตุ(และเมืองนคร)นี่เอง แต่ต่อมาก็ได้รวมเป็นองค์เดียว ซึ่งมีความหมายว่า ดวงวิญญาณของบูรพกษัตริย์ที่คุ้มครองเมืองนครทั้ง 4 ทิศ นั่นเอง

ท้าวจตุคาม (ซ้าย) และ ท้าวรามเทพ (ขวา) อยู่ตรงทางขึ้นพระธาตุ

ก่อนที่เราจะได้ขึ้นไปสักการะพระบรมธาตุ เราก็จะได้พบกับรูปปั้นท้าวจตุคามและท้าวรามเทพอยู่ซ้าย-ขวาตรงทางเข้าครับ เพราะท่านคือเทวดาผู้คุ้มครองรักษาพระบรมธาตุแห่งนี้

.....ตอนนี้มีข่าวดีคือ เมื่อ 19 กันยายนที่ผ่านมา วัดพระธาตุได้รับการพิจารณาเข้าอยู่ในลิสท์เบื้องต้นของยูเนสโก เพื่อเตรียมได้รับการพิจารณาเป็นมรดกโลก ซึ่งนับจากนี้จะใช้เวลาราว 1 ปีครึ่งเพื่อพิจารณาว่าวัดพระธาตุจะเป็นมรดกโลกหรือไม่ นับเป็นความภูมิใจของชาวนครและทีมงานที่ช่วยกันผลักดันจนมีวันนี้เกิดขึ้นครับ.....

ปล. เครดิตภาพประกอบจาก เพจของคุณหมอรังสิต ทองสมัครครับ